ข้อครหากรณีการประมูลรถไฟทางคู่สายเหนือและสายอีสาน มูลค่ารวมกว่า1.28 แสนล้านบาท เป็นเรื่องที่ ครม.ทั้งคณะไม่อาจปัดความรับผิดชอบได้
แต่ยังดำเนินการแก้ไขทัน เพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ เพราะยังไม่มีการเซ็นสัญญา
1. เดิม การประมูลจะต้องเป็นไปตามแนวทางที่เคยมีการประมูลรถไฟทางคู่สายใต้ เมื่อปี 2560 ซึ่งครั้งนั้น คสช.เคยลงอาคมไว้ โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง (ซุปเปอร์บอร์ดจัดซื้อจัดจ้าง) ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 11/2560
2. ต่อมา หลังการเลือกตั้ง ได้รัฐบาลผสม มาจากพรรคร่วมรัฐบาล
กระทรวงคมนาคม ได้เสนอ ครม. มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2563 รับทราบผลการดำเนินงานโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายใหม่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 323 กม. วงเงิน 8.5 หมื่นล้านบาท และเห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2561 ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
สาระสำคัญ คือ เห็นชอบให้มีการตัดข้อความที่เคยให้โครงการอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง (ซุปเปอร์บอร์ดจัดซื้อจัดจ้าง) ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 11/2560 อ้างเหตุว่าซุปเปอร์บอร์ดได้สิ้นสภาพลงแล้ว และให้ขั้นตอนของการประกวดราคาจ้างก่อสร้างเป็นหน้าที่ของ ร.ฟ.ท. และให้ดำเนินการตามพ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ 2560 ต่อไป
ประการสำคัญ ให้ ร.ฟ.ท.กลับมาแบ่งสัญญาของโครงการให้เป็น 3 สัญญาตามเดิม โดยรวมงานก่อสร้างและงานระบบอาณัติสัญญาณไว้ด้วยกัน จากเดิมที่ซุปเปอร์บอร์ดเคยเสนอให้แบ่งงานออกเป็น 7 สัญญา แยกงานโยธาและงานระบบอ้างว่าการบริหารสัญญาจะมีความคล่องตัวและก่อให้เกิดประสิทธิภาพทางด้านการควบคุมงาน
รวมถึงการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิผลมากกว่าการแยกสัญญา และทำให้ต้นทุนบางอย่างไม่เพิ่มขึ้น
3. นี่เอง คือ การเปิดประตูให้ ร.ฟ.ท.กลับมาแบ่งสัญญาเป็นแค่ 3 สัญญาตามเดิม
ทั้งๆ ที่ หากดำเนินการตามแนวทางที่ซุปเปอร์บอร์ดจัดซื้อจัดจ้างฯ กำกับไว้เพื่อป้องกันการล็อกสเปก ออกแบบให้มีการแข่งขันกันมากที่สุด การประมูลรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ จะต้องแบ่งงานเป็นถึง 7 สัญญา
4. ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ได้แฉเพิ่มเติมว่า “มีผู้รับเหมาหลายรายเสนอใช้ทีโออาร์สายใต้
ประมูลทางคู่เหนือ-อีสาน แต่เหลว!” ระบุว่า
“...ก่อนประมูลรถไฟทางคู่สายเหนือช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และสายอีสานช่วงบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ได้สอบถามความเห็นจากผู้รับเหมาที่สนใจจะเข้าประมูล ปรากฏว่ามีผู้รับเหมาหลายรายเสนอให้ ร.ฟ.ท. นำข้อกำหนดของผู้ว่าจ้าง (ทีโออาร์) ของสายใต้ช่วงนครปฐม-หัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร มาใช้ แต่ ร.ฟ.ท.ปฏิเสธ
การประมูลรถไฟทางคู่สายใต้ ทำอย่างไร?
ร.ฟ.ท. ได้แบ่งการประมูลออกเป็นสัญญาย่อยหลายสัญญา ทำให้ได้ค่าก่อสร้างต่อสัญญาต่ำลง และได้กำหนดผลงานของผู้รับเหมาที่จะเข้าประมูลไว้ดังนี้
1.ต้องมีผลงานก่อสร้างทางรถไฟในสัญญาเดียวไม่น้อยกว่า 10% ของราคากลาง หรือ
2.ต้องมีผลงานก่อสร้างโครงสร้างทางรถไฟหรือรถไฟฟ้าในสัญญาเดียวไม่น้อยกว่า 7%-8% ของราคากลาง และผลงานติดตั้งระบบรางรถไฟหรือรถไฟฟ้าในสัญญาเดียวไม่น้อยกว่า 2%-3% ของราคากลาง
การกำหนดผลงานไว้เช่นนี้ ทำให้ผู้รับเหมาขนาดกลางสามารถเข้าประมูลได้ด้วย ไม่ใช่เฉพาะผู้รับเหมาขนาดใหญ่เท่านั้น เป็นผลให้การประมูลมีการแข่งขันกันมากกว่า สามารถประหยัดค่าก่อสร้างได้มากถึง 2,039 ล้านบาท คิดเป็น5.66% ของราคากลาง
การประมูลรถไฟทางคู่สายเหนือและสายอีสาน ทำอย่างไร?
ร.ฟ.ท. ไม่ได้แบ่งการประมูลออกเป็นสัญญาย่อยหลายสัญญา ทำให้ค่าก่อสร้างต่อสัญญาสูง และได้กำหนดผลงานของผู้รับเหมาที่จะเข้าประมูลไว้ดังนี้
1. ต้องมีผลงานก่อสร้างทางรถไฟในสัญญาเดียวไม่น้อยกว่า 15% ของราคากลาง
2.ในกรณีสายเหนือซึ่งมีการก่อสร้างอุโมงค์ด้วย จะต้องมีผลงานก่อสร้างอุโมงค์ในสัญญาเดียวไม่น้อยกว่า 5% ของค่าก่อสร้างอุโมงค์
การกำหนดผลงานไว้เช่นนี้ จะทำให้ผู้รับเหมาขนาดกลางไม่สามารถเข้าประมูลได้ด้วย จึงมีเฉพาะผู้รับเหมาขนาดใหญ่เพียง 5 รายเท่านั้นที่เข้าแข่งขันกัน ผลการประมูลจึงประหยัดค่าก่อสร้างได้เพียง 106 ล้านบาท คิดเป็น 0.08% ของราคากลางเท่านั้น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ไม่เหนือความคาดหมายของคนในวงการก่อสร้าง ซึ่งเห็นได้ว่าก่อนการประมูลมีผู้รับเหมาขนาดกลางหลายรายได้ทักท้วงการกำหนดผลงานไม่น้อยกว่า 15% ของราคากลาง และได้เสนอให้ใช้ผลงานไม่น้อยกว่า 10% ของราคากลางเหมือนสายใต้ อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ยกตัวอย่างเช่น
“บริษัท...ขอเสนอว่า ร.ฟ.ท. ควรกำหนดเงื่อนไขคุณสมบัติของผลงานไว้เช่นเดิมเพียง 10% ของราคากลาง เพื่อให้โอกาสผู้ที่มีคุณสมบัติเดิมได้เข้าร่วมเสนอราคาด้วย บริษัทหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อเสนอแนะดังกล่าวจะเป็นประโยชน์เพื่อความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ไม่เป็นการกีดกันผู้รับเหมารายอื่น และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อหน่วยงานราชการ”
หรือ
“กรณีดังกล่าว (เพิ่มผลงานจาก 10% ของราคากลาง เป็น 15% ของราคากลาง) ถือเป็นการกีดกันไม่ให้ผู้เสนอราคารายเดิมที่เคยมีสิทธิ์เสนอราคาเข้าร่วมเสนอราคาด้วย อันเป็นการเอื้อผลประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนใดกลุ่มทุนหนึ่งเฉพาะเจาะจง ทำให้มีผู้เสนอราคาน้อยกว่าปกติหรือไม่”
หรือ
“ผลงานที่เป็นเกณฑ์ในการยื่นข้อเสนอควรลดมาให้เหลือ 10% ของราคากลาง เพื่อให้เป็นไปตามร่างประกาศการประมูลรถไฟทางคู่ของ ร.ฟ.ท. ข้อ 13 และ ข้อ 14
ข้อ 13 ผู้ยื่นข้อเสนอจะต้องมีนโยบายและแนวทางการป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง
ข้อ 14 ผู้ยื่นข้อเสนอจะต้องลงนามในข้อตกลงคุณธรรม กรณีโครงการได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการความร่วมมือป้องกันการทุจริต (คณะกรรมการ ค.ป.ท.) ให้จัดทำข้อตกลงคุณธรรม”
นั่นหมายความว่าผู้รับเหมารายนี้คงเห็นว่าการเสนอให้ลดผลงานลงเหลือ 10% ของราคากลาง จะทำให้มีการแข่งขันกันมากกว่า เป็นผลให้สามารถป้องกันการทุจริตได้
แม้มีผู้รับเหมาหลายรายไม่เห็นด้วยกับการใช้ผลงานไม่น้อยกว่า 15% ของราคากลาง และได้เสนอให้ใช้ผลงานไม่น้อยกว่า 10% ของราคากลาง แต่ ร.ฟ.ท. กลับปฏิเสธ โดยให้เหตุผลเหมือนกันทุกรายว่า “การกำหนดเปอร์เซ็นต์ผลงานของผู้ยื่นข้อเสนอเป็นไปตามแนวทางปฏิบัติของกรมบัญชีกลางในการกำหนดคุณสมบัติและการกำหนดผลงานของผู้ยื่นข้อเสนอ”
ทั้งๆ ที่ ร.ฟ.ท. ได้ประจักษ์มาจากการประมูลรถไฟทางคู่สายใต้ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ แล้วว่าการกำหนดผลงานไม่น้อยกว่า 10% ของราคากลาง สามารถประหยัดค่าก่อสร้างได้มากถึง 20.51% ของราคากลาง
และทั้งๆ ที่ ร.ฟ.ท. มีประสบการณ์จากการประมูลรถไฟทางคู่ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย โดยได้แยกการประมูลก่อสร้างอุโมงค์รถไฟช่วงวิหารแดง-บุใหญ่ เป็นสัญญาย่อยต่างหาก ไม่รวมอยู่กับงานอื่น ทำให้สามารถประหยัดค่าก่อสร้างได้มากถึง 32% ของราคากลาง
แต่ทำไม ในการประมูลรถไฟทางคู่สายเหนือและสายอีสาน ร.ฟ.ท. จึงไม่แบ่งการประมูลออกเป็นสัญญาย่อยหลายสัญญา และไม่กำหนดผลงานเป็นไม่น้อยกว่า 10% ของราคากลาง? ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติได้เป็นอย่างมาก และที่สำคัญ การทำเช่นนี้ก็เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกรมบัญชีกลางเช่นกัน”
5. เมื่อปรากฏว่า การดำเนินการประมูลไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ ครม.ที่ต้องการให้เกิดประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์ต่อทางราชการแผ่นดิน หากกลับปรากฏว่า
มีการไปดำเนินการทั้งรถไฟทางคู่สายเหนือและอีสาน จัดประมูลใกล้ๆ กัน โดยแบ่งเป็น 5 สัญญา เสนอราคาต่ำกว่าราคากลางเท่ากันแค่ 0.08%
หากปล่อยให้ดำเนินการต่อไป และปรากฏผลว่าทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ครม.ที่ร่วมเห็นชอบไปกับการตัดข้อความอันนำมาสู่การเปิดประตูให้มีการประมูลแบบ 3 สัญญานั้น จะต้องร่วมรับผิดชอบด้วย
ดังนั้น พึงพิจารณาดังที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ระบุว่า #ท่านนายกต้องกล้าตัดสินใจ
“ขอย้ำกับท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อกรณี การประมูลรถไฟทางคู่สายเหนือและสายอีสาน
พวกเราขอย้ำว่า พวกเราสนับสนุนนโยบาย ขยายรถไฟทางคู่ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเฉพาะต้องการเร่งให้เกิดทางคู่สายเหนือ-อีสาน แต่ที่ติดใจคือ การดำเนินการต้องโปร่งใส
ขอย้ำว่า ปัญหาของทางคู่สายเหนือ-อีสานคือ เขาแยกสัญญาออกมา 5 สัญญา ออก TOR เพื่อเอื้อ 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ กีดกันบริษัทขนาดกลาง และเปิดประมูล
ทั้ง 5 สัญญาในเวลาใกล้เคียงกัน ผลการประมูลได้ราคาที่ต่ำกว่าราคากลางแค่ 0.08% แบบนี้ถ้าไม่ฮั้วจะให้เรียกว่าอะไร
พวกเราต้องฝากท่านนายกฯ ช่วยดำเนินการด้วยครับ ไม่ควรจะชักช้า อะไรจะเกิดไม่ต้องกลัว อย่างน้อยจะได้เป็นการสร้างมาตรฐานให้แก่รัฐบาล เรื่องการปราบการทุจริต แต่ถ้าท่านยังปล่อยให้โครงการนี้เดินหน้า จะถือว่าท่านไม่กล้าตัดสินใจ จะอันตรายต่ออนาคตของรัฐบาล
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี