ประเด็นที่มีการกล่าวกันว่า การจัดหาวัคซีนโควิด-19เพื่อนำมาฉีดให้กับประชาชนไทยนั้น ถ้าเปรียบเทียบกับการเล่นพนันแทงม้า ก็เหมือนกับรัฐบาลแทงม้าตัวเดียว ซึ่งโอกาสที่จะชนะจะน้อยลงเป็นอย่างมาก โดยแต่เดิมนั้นรัฐบาลได้วางแผนการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนโดยการจะจัดหาวัคซีนแอสตราเซเนกา ที่เกิดจากการคิดค้นวิจัยของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดจากประเทศอังกฤษเพียงตัวเดียวเท่านั้น
เรื่องนี้จะเป็นการส่งสัญญาณระวังภัยด้วยความปรารถนาดีให้กับรัฐบาลอย่างไรหรือไม่คงไม่มีคำตอบ แต่อย่างน้อยเมื่อผู้บริหารของภาครัฐได้รับทราบประเด็นดังกล่าวนี้ ก็น่าจะต้องมีการทบทวนถึงภารกิจหลักในการป้องกันและต่อสู้กับโรคโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการจัดหาวัคซีน เพื่อเอามาใช้ในการปกป้องประชาชนและประเทศชาติ จากภัยคุกคามของโรคร้ายซึ่งถือว่ารุนแรงมาก
ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า การประเมินสถานการณ์ความรุนแรงของการระบาดของโรคโควิด-19 ในครั้งนี้ อาจจะต่ำกว่าที่ควรจะเป็น จากที่มีการระบาดของโรคร้ายนี้ในระลอกแรก แล้วดูเหมือนว่าประเทศไทยจะสามารถควบคุมการระบาดได้ดี ซึ่งเป็นผลมาจากมีการออกกฎหมายเพื่อใช้บังคับ ใช้มาตรการต่างๆ ที่เข้มงวดและสร้างความตระหนักให้กับประชาชนถึงภัยของโรคร้ายนี้
แต่การระบาดก็ไม่ได้มีการหายไปทั้งหมด ยังคงมีผู้ป่วยใหม่เกิดขึ้นประปราย ทำให้มีนักวิชาการผู้เป็นที่ยอมรับระดับประเทศเช่นคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ศาสตราจารย์นายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา และนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคไวรัส ศาสตราจารย์นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ ได้ออกมาเตือนไว้ในเบื้องต้น ว่าการระบาดอาจจะกลับมาได้อีก และจำนวนผู้ติดเชื้ออาจจะเกิดขึ้นได้อย่างมากมาย
โดยสิ่งที่จะช่วยป้องกันได้ดีที่สุดคือการระดมฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับประชาชนให้มากที่สุด แต่เนื่องจากสถานการณ์ในขณะนั้นซึ่งดูเหมือนจะดีมาก จนอาจจะเป็นเหตุแห่งความประมาทและไม่ได้มีการเตรียมการที่ดีในการจัดหาวัคซีนเพื่อระดมฉีดให้กับประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ให้ได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตามทฤษฎีจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในหมู่ประชากรได้มากเพียงพอที่จะทำให้การระบาดชะลอตัว หรืออาจหยุดยั้งการระบาดได้ ซึ่งหลายประเทศได้มีการดำเนินในเรื่องนี้อย่างได้ผล อาทิ ประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อิสราเอล
ในเบื้องต้นที่มีการระบาดระลอกแรกนั้น รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมการจัดหาวัคซีน ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่าจะเป็นวัคซีนแอสตราเซเนกา เพียงยี่ห้อเดียว เนื่องจากมีข้อมูลในขณะนั้นแล้วว่า วัคซีนดังกล่าวจะผลิตจากโรงงานของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ในประเทศไทยได้ด้วย ซึ่งหากมองในขณะนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะเป็นโรงงานซึ่งได้รับการพิจารณาคัดเลือกจากบริษัทแอสตราเซเนกาว่ามีขีดความสามารถที่จะผลิตวัคซีนที่ดีและมีคุณภาพมาตรฐานให้ได้ รวมทั้งยังเป็นโรงงานซึ่งเกิดขึ้นจากพระวิสัยทัศน์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ผู้ที่ประชาชนชาวไทยเคารพรักและเทิดทูนเป็นอย่างยิ่งด้วย
ซึ่งเรื่องนี้ควรเป็นความภาคภูมิใจของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป มีการระบาดของโรคโควิด-19 กลับมาอีกระลอกหนึ่ง การฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนต้องเป็นเรื่องเร่งด่วน จึงมีการสั่งซื้อวัคซีนซิโนแวคแบบรีบเร่งจากประเทศจีน รวมทั้งที่ได้รับการบริจาค เข้ามาใช้ในประเทศไทยก่อนเป็นยี่ห้อแรก ในขณะที่วัคซีนแอสตราเซเนกาที่รัฐบาลสั่งซื้อซึ่งผลิตจากโรงงานในประเทศเกาหลีใต้ในขณะนั้นยังมาไม่ถึง เพราะการสั่งซื้อและส่งมอบวัคซีนของ
แอสตราเซเนกาต้องเป็นไปตามลำดับ เนื่องจากบริษัทเป็นผู้บริหารจัดการในการจัดส่งวัคซีนซึ่งผลิตจากโรงงานหลายแห่งให้กับประเทศต่างๆ ซึ่งสั่งซื้อเข้ามาที่บริษัทด้วยเช่นกัน จึงต้องเรียงไปตามลำดับของการสั่งซื้อและความจำเป็น และคงไม่ได้มีข้อตกลงว่าจะต้องส่งมอบวัคซีนให้กับประเทศไทยเป็นประเทศแรกแต่อย่างใดการส่งมอบวัคซีนเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน จึงน่าจะเป็นกรณีพิเศษและเป็นการให้เกียรติกับประเทศไทย
เมื่อรัฐบาลได้ประกาศให้วันที่ 7 มิถุนายน 2564 เป็นวันดีเดย์ของการเริ่มต้นวาระแห่งชาติของการฉีดวัคซีนโควิดนั้น เป็นเรื่องที่ประชาชนทั้งหลายชื่นชมและดีใจที่จะมีโอกาสได้รับการดูแลจากรัฐบาลให้ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคร้ายนี้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยเรียงตามลำดับความสำคัญของกลุ่มประชากรตามความเสี่ยงของบุคคลและพื้นที่เสี่ยง
ทั้งนี้ได้มีการยืนยันว่า รัฐบาลสามารถจัดหาวัคซีนมาได้อย่างพอเพียง ทั้งจากยี่ห้อที่เคยใช้อยู่ และยี่ห้อใหม่ๆที่จะจัดหาเพิ่มเติมเข้ามาด้วย โดยวัคซีนตัวหลักก็จะเป็นวัคซีนแอสตราเซเนกา ซึ่งจะทยอยส่งมอบในเดือนมิถุนายนประมาณ 6 ล้านโดส และเดือนต่อๆ ไป อีกประมาณเดือนละ 10 ล้านโดส จนครบจำนวน 61 ล้านโดส ตามที่ได้เคยมีข้อตกลงไว้ โดยจะทยอยฉีดให้ประชาชนแต่ละคนจนได้จำนวนเกินกว่า50 ล้านคนหรือ 70% ของประชากรภายในสิ้นปีนี้ เพื่อให้ประชาชนทุกคนที่ได้รับการฉีดมีภูมิคุ้มกันและเกิดการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ขึ้นในประชากรทั้งประเทศด้วย
การระดมฉีดวัคซีนตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน ผ่านไปได้เป็นอย่างดี มีประชาชนเข้ารับการฉีดในแต่ละวันเฉลี่ยแล้วเกินกว่า 4 แสนราย โดยภาครัฐได้แจ้งให้หน่วยงานที่จะต้องรับหน้าที่ฉีดได้ทราบว่าจะจัดรอบการส่งมอบวัคซีนให้เป็นรายสัปดาห์ แต่เมื่อใกล้จะถึงปลายสัปดาห์แรกก็เริ่มมีข่าวออกมาจากกระทรวงสาธารณสุข โดยผู้บริหารได้เปิดเผยว่า วัคซีนของแอสตราเซเนกาจะถูกชะลอการส่งมอบให้องค์การเภสัชกรรมไปประมาณ 2-4 วัน และส่งสัญญาณว่าจะทำให้ไม่สามารถฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศในรอบวันที่ 14 ถึง 20 มิถุนายนได้ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเรื่องนี้สร้างความหวั่นวิตกให้กับผู้ปฏิบัติงานปลายทางเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากจะต้องรับหน้าที่ในการฉีดและจะต้องรับหน้ากับคำถามซึ่งระดมมาจากทุกทิศทางจากประชาชนที่ได้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นหมอพร้อม และได้รับทราบแล้วว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนเป็นชุดที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน เป็นต้นไป
รัฐบาลและผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข น่าจะต้องออกมาให้ความจริงและแจ้งปัญหาข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น ตลอดจนแนวทางการแก้ไข ให้ประชาชนได้รับทราบ ขณะเดียวกันต้องเร่งรัดการตรวจสอบคุณภาพของวัคซีนซิโนแวคจำนวน 1 ล้านโดส ซึ่งอยู่ในระหว่างการตรวจสอบขององค์การเภสัชกรรม ให้ได้ทยอยออกมาใช้ในการฉีดให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุด รวมทั้งการสื่อสารให้ชัดเจนว่า วัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิภาพที่ดีเช่นเดียวกัน สามารถฉีดให้กับประชาชนอายุตั้งแต่ 18 ปี จนถึงผู้สูงอายุเกินกว่า 60 ปี เหมือนกับที่มีการใช้อยู่ในประเทศอื่น
การเปิดทุกช่องทางให้กับองค์กร หน่วยงานต่างๆ สามารถจะดำเนินการจัดหาวัคซีนยี่ห้อต่างๆเข้ามาในประเทศไทยได้โดยสะดวกกว่าเดิม เพื่อสนับสนุนและลดภาระบางส่วนของภาครัฐ ให้เป็นทางเลือกสำหรับประชาชนซึ่งมีความสามารถในการจ่ายเพื่อเลือกชนิดของวัคซีน และได้รับการฉีดโดยการดำเนินการของภาคเอกชนโดยเร็วที่สุดนั้น จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก จากข้อมูลที่มีอยู่ในขณะนี้ การดำเนินการดังกล่าวอาจจะไม่สามารถทำได้เร็วกว่าต้นเดือนตุลาคม ซึ่งอาจจะช้าเกินไป ยกเว้นในส่วนของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ซึ่งได้ดำเนินการเพื่อจัดหาวัคซีนซิโนฟาร์มประมาณ 1 ล้านโดส เข้ามาได้ และน่าจะเริ่มให้บริการฉีดให้กับองค์กรต่างๆ และผู้ที่ยอมรับภาระค่าใช้จ่ายเองได้ตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายนนี้เป็นต้นไป ซึ่งถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง
เราคงต้องใช้ประสบการณ์ของการแทงม้าตัวเดียว มาเป็นบทเรียนที่สำคัญในการดำเนินโครงการระดับชาติอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยในอนาคต ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสียหายที่รุนแรงต่อประชาชนและประเทศชาติ คนไทยทุกคนถูกหล่อหลอมให้มีความรักชาติ มีเมตตา มีความรักและปรารถนาต่อกัน จึงเชื่อว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะได้รับความเห็นอกเห็นใจและการให้อภัยจากคนไทยส่วนใหญ่ และจะค่อยๆคลี่คลายไปได้ในที่สุด ด้วยความตั้งใจและจริงใจของรัฐบาลในการที่จะดำเนินการเรื่องนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี