ดูเหมือนว่ารัฐบาลกำลังเริ่มที่จะร้อนใจเกี่ยวกับปัญหาการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ในท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโคบ้าที่ยังคงขยายตัวต่อไป และมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นโดยลำดับคือเกิน 3,000 คนต่อวัน
ทั้งๆ ที่ระยะเวลาที่ผ่านมาร่วม 17 เดือนเต็มนั้นไม่เคยมีการให้ความสำคัญหรือมุ่งเน้นในเรื่องนี้เลย โดยเฉพาะในช่วงปี 2563 พวกเทคโนแครตกองเชียร์รัฐบาลยังคงโหมประโคมลวงโลกว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตตั้งแต่ 2-4% ซึ่งถึงวันนี้ความจริงก็ได้ท่วมทับการลวงโลกนั้นไปเรียบร้อยแล้ว
ตลอด 17 เดือนที่ผ่านมานี้นอกจากจะมิได้คำนึงถึงการดำรงรักษาหรือเตรียมการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศเท่านั้น แต่ยังมีการพร่าผลาญทรัพยากรของชาติ
ประดุจดังเอาเงินไปทิ้งทะเลนั่นคือระบบความคิดกู้เงินมาแจกแก่คนบางกลุ่มบางเหล่า ซึ่งมีเสียงติฉินนินทาว่ามุ่งเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มทุนใหญ่ แต่ก็หามีใครรับฟังเสียงราษฎรไม่
จะทำอะไรทีหนึ่งก็สร้าง app กันอันหนึ่ง จนบ้านเมืองทุกวันนี้มี app มากมายสารพัด และแต่ละ app ก็เพิ่มภาระและความเสี่ยงให้กับประชาชนที่ต้องไปลงทะเบียนแล้วลงทะเบียนเล่าไม่ต่างกับสภาวะทาสที่ต้องตีทะเบียนกันเป็นรายปี แต่ดูเหมือนว่าในยุคทาสจะเบาบางกว่าเพราะปีหนึ่งเขาก็ตีทะเบียนกันทีหนึ่ง แต่ทุกวันนี้แต่ละเดือนต้องไปลงทะเบียนตาม app ต่าง ๆ กันจ้าละหวั่น
จะใช้งบประมาณส่วนไหนไปทำ app และทำสัญญาจัดจ้างจัดหากันอย่างไร กระทำการโดยถูกต้องตามกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างหรือไม่ สักวันหนึ่งความจริงก็จะปรากฏ ซึ่งน่าห่วงใยว่ากรณีเรื่องสารพัด app นี้อาจจะโด่งดังไม่แพ้กับขบวนการเสาไฟฟ้าป่าหิมพานต์ที่โกงกันทั้งแผ่นดิน และเป็นเรื่องฮือฮากันอยู่ในทุกวันนี้
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเกี่ยวกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2564 ซึ่งสรุปสาระได้ว่าจะเร่งระดมการลงทุนจากต่างประเทศ โดยจะให้สิทธิ์วีซ่าเข้าประเทศ
นานปีแก่ผู้ที่นำเงินเข้ามาซื้อตราสารหนี้หรือพันธบัตร รวมทั้งให้สิทธิ์ต่างชาติที่จะซื้อหรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ระยะยาว รวมทั้งให้สิทธิ์ประโยชน์ทางภาษีด้วย
มาตรการแบบนี้ตรองดูกันให้ดีเถิดว่าจะบังเกิดประโยชน์อะไรกับประเทศชาติและประชาชน ทั้งจะเกิดความเสี่ยงอย่างใหญ่หลวงที่จะให้ชาวต่างชาติเข้ามายึดบ้าน
ยึดเมืองยึดแผ่นดินและแย่งคนไทยทำมาหากินภายใต้สิทธิ์พิเศษมากมาย ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้เห็นบทเรียนอยู่แล้วว่าการโหมการลงทุนใน EEC นั้นมีอะไรบังเกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนบ้าง
ถ้าจะประเมินผลกันล่วงหน้าก็บอกว่าได้มาตรการดังกล่าวนั้นก็คือมาตรการเดียวกับการรณรงค์ให้มีการลงทุนใน EEC ในตอนต้นนั่นเอง จึงเป็นเรื่องที่จะต้องตระหนักและทบทวนใคร่ครวญให้จงดี ก่อนที่จะจมปลักลงไปมากกว่านั้น
เพียงตั้งข้อสังเกตแต่เล็กน้อยก็จะทราบว่าทำไมหลายประเทศเศรษฐกิจเขาไม่ทรุดโทรมหนักหน่วงเหมือนประเทศไทย ซึ่งขอยกตัวอย่างประเทศจีนเมื่อครั้งแรกเริ่มระบาดที่อู่ฮั่น รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการให้รัฐบาลออกคำสั่งทั่วไปห้ามมิให้ภาครัฐและเอกชนเลิกจ้างคนงานหรือลดคนงานหรือลดค่าจ้างโดยเด็ดขาด โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินเยียวยาให้ตามสัดส่วนของกิจการ
กิจการใดมีขนาดใหญ่ กำไรมาก รัฐก็อาจจะไม่เยียวยาหรือเยียวยาแค่ 2-5% และค่อยเพิ่มอัตราการช่วยเหลือเพิ่มขึ้นไปจนถึงบริษัทขนาดเล็กหรือมีผลกระทบขาดทุนมาก รัฐบาลก็จะให้การช่วยเหลือเท่ากับจำนวนค่าจ้างที่จ่ายรายเดือนทั้งหมด
เป็นผลให้คนงานทั่วประเทศจีนหลายร้อยล้านคนมีงานทำ มีรายได้เหมือนเดิม ส่วนกิจการก็สามารถดำเนินต่อไปได้โดยได้รับค่าเยียวยาจากรัฐ สามารถทำการผลิตได้ตามที่ต้องการ และโชคดีที่ภาคผลิตต่างๆ ทั่วโลกหยุดชะงักจึงเป็นโอกาสของจีนที่จะระดมการผลิตส่งออกไปทั่วโลก
เพราะคนงานมีงานทำ มีรายได้เหมือนเดิม จึงไม่ต้องควักเงินของกิจการไปจ่ายค่าชดเชย กองทุนประกันสังคมก็ไม่ต้องเอาเงินไปจ่ายให้แก่ผู้ตกงาน คนงานก็ยังคงมีรายได้เท่าเดิม เอาเงินไปเลี้ยงดูครอบครัวคนละ 3-5 คน ให้นำเงินไปจับจ่ายใช้สอยอันเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจไปในตัว
บรรดาโรงงานด้อยคุณภาพหรือที่ผลิตของปลอมในหลายพื้นที่ รัฐบาลก็เข้าช่วยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเสียใหม่ ไม่ได้สั่งปิดหรือสั่งเลิก โดยเปลี่ยนการผลิตให้ผลิตอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ทุกชนิดเพื่อทดแทนความขาดแคลนและความต้องการจากทั่วโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทำให้โรงงานโกโรโกโสเหล่านี้แปรสภาพกิจการใหม่ที่มีรายได้สูงและมีกำไรมาก พอมีกำไรรัฐบาลก็ลดการเยียวยาค่าจ้างลง
แต่ประเทศไทยของเราไม่เคยใส่ใจไยดีภาคผู้ประกอบการเลย 17 เดือนผ่านมา ผู้ประกอบการทุกภาคส่วนไม่ว่าภาคเกษตรภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการถูกทอดทิ้งไม่เหลียวแล โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยหรือ SME ถูกปล่อยให้ตายอย่างน่าอนาถการล้มละลาย การปิดกิจการ เพิ่มขึ้นจำนวนมากและยังเพิ่มไม่ยอมหยุด มีผู้คนตกงานไม่มีรายได้ ไม่มีอาหารกิน และฆ่าตัวตายอย่างต่อเนื่อง แต่หามีใครสนใจไม่
เอาแต่หิวแสง พล่ามแต่เรื่องวัคซีนที่ผิดพลาดล้มเหลวจนปัญหาขยายตัวบานปลายเกิดความระส่ำระสายขึ้นทั้งระบบราชการ ในท่ามกลางความอิดหนาระอาใจของประชาชน
เพิ่งมาเริ่มคิดจะเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าจังหวัดภูเก็ตในสัปดาห์ที่ผ่านมาแต่ก็มิได้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของพื้นที่ ซึ่งมีผู้ออกความเห็นไปบ้างแล้ว มาตรการนี้นับว่าเป็นมาตรการที่ดี แต่ต้องทำให้ได้ผลเต็มที่
เช่น เปิดเขตการท่องเที่ยวพิเศษ 3 เขต ในภาคใต้คือภูเก็ต พังงา กระบี่ ในภาคตะวันออกคือ EEC ได้แก่ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา และภาคเหนือคือเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน เปิดรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้ามาโดยมีมาตรการตรวจการเข้าเมืองที่สามารถรู้ผลการติดเชื้อใน 30 นาที และผู้เข้าเมืองต้องมีใบรับรองว่าได้ฉีดวัคซีนตามที่กำหนดแล้ว
จากนั้นก็ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในแต่ละเขตปรึกษาหารือกำหนดมาตรการร่วมกันโดยสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของพื้นที่เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด รวมทั้งมาตรการให้ความช่วยเหลือถ้าหากพบว่ามีผู้ป่วยดังนี้ มาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวก็จะบังเกิดประโยชน์อย่างเต็มที่
การจะฟื้นฟูเศรษฐกิจได้นั้นจะต้องเริ่มต้นจากการคืนชีวิตให้แก่ธุรกิจทุกภาคส่วนก่อน สำหรับกิจการที่ยังไม่ปิดกิจการก็ควรใช้มาตรการอย่างเดียวกับประเทศจีนคือให้การช่วยเหลือเยียวยาค่าจ้างตามอัตราส่วนที่เห็นเหมาะสม เป็นระยะเวลาสัก 6 เดือน เพื่อการนี้ให้ยกเลิกแผนการทั้งหลายที่กู้มาแจกแบบเอาเงินโยนทิ้งทะเลเพราะที่ผ่านมาก็ฉิบหายมากพอแล้ว อย่าทำให้ชาติบ้านเมืองฉิบหายไปมากกว่านี้เลย
สำหรับกิจการที่ปิดไปแล้วก็ให้ร่วมปรึกษาหารือกันเพื่อช่วยเหลือให้เปิดกิจการครั้งใหม่ได้ ซึ่งส่วนนี้อาจจะยากลำบากสักหน่อย รัฐบาลจะต้องตั้งคนที่ปรีชาสามารถอย่างแท้จริงมาเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาส่วนนี้
จากนั้นก็ต้องเร่งการส่งออก เลิกเล่นลิเกหรือปั่นกระแสข่าวในเรื่องนี้ได้แล้ว เพราะความจริงได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการส่งออกของประเทศไทยไม่ได้ดีขึ้น สมควรที่จะตั้งผู้แทนการค้าตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่มีอยู่อย่างน้อย5 คน จากนักการค้ามือเซียนที่สามารถออกไปเจรจาความขายสินค้าต่างๆ ของประเทศไทยกับต่างประเทศให้เร็วที่สุด ซึ่งจะเป็นแรงจูงให้การผลิตในประเทศฟื้นตัว และทำให้ภาคเกษตรมีรายได้ดีขึ้น
ที่สำคัญจะต้องตระหนักว่าปัญหาเศรษฐกิจไทยขณะนี้อยู่ในภาวะวิกฤติขั้นโคม่าจะต้องใช้ยาแรงจึงจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ นั่นคือต้องใช้ศักยภาพขั้นสูงสุดที่ประเทศไทยมีอยู่ให้อำนวยประโยน์แก่บ้านเมือง เช่น
ประการแรก จัดตั้งและเปิดเขตเศรษฐกิจการค้าชายแดนตามชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน เพิ่มยอดการค้าจากปีละ 10 ล้านล้านบาท เป็นปีละ 100 ล้านล้านบาท
ประการที่สอง เปิดพรมแดนทางด้านเหนือโดยรีบเชื่อมโยงระบบคมนาคมทางรถไฟกับเส้นทางสายไหม เร่งเชื่อมเส้นทางรถไฟเส้นทางสายไหมจากหนองคายถึงเวียงจันทน์ระยะทางแค่ 16 กิโลเมตร เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาประเทศไทย และส่งสินค้าไทยออกไปทั่วโลกโดยสะดวกและต้นทุนต่ำลง รวมทั้งเข้าร่วมแผนปฏิบัติตามปฏิญญาซันย่าเพื่อเชื่อมต่อการท่องเที่ยวและการค้าขายทางแม่น้ำโขงกับ 6 ประเทศ
ประการที่สาม เร่งสร้างคลองไทยเป็นคลองยกระดับให้รองรับเรือเดินทะเลระวางขับน้ำ 300,000-500,000 ตันได้โดยไม่ต้องขุดเป็นคลอง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ในปัจจุบันระดมเงินลงทุน 10 ล้านล้านบาทเข้าประเทศ และตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษเหนือใต้สองฝั่งคลอง
เรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยสติปัญญาความสามารถขั้นสูงและต้องกระทำโดยคนที่มีจิตใจรักชาติไม่ถูกครอบงำอยู่ภายใต้อิทธิพลของต่างชาติจึงจะสำเร็จ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี