จากสถานการณ์การบริหารจัดการวัคซีนในสัปดาห์ที่ผ่านมามีปัญหา โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม.จนต้องมีการเลื่อนนัดประชาชนออกไป แม้ว่าเบื้องหลังจริงๆ จะเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้ แต่ภาพที่ออกไปในสายตาประชาชน คือ การทำงานที่ไม่สอดรับกันของหน่วยงานและคณะกรรมการชุดต่างๆ และคำถามที่คาใจประชาชนว่า ตกลงแล้ววัคซีนมีเท่าไรกันแน่ โดยหลายคนก็วิจารณ์เพ่งเล็งไปที่ภาวะความเป็นผู้นำของทั้ง ศบค. สธ. และ กทม. และมองว่าเป็นการออกมาปัดความรับผิดชอบ แต่สุดท้ายแล้วท่านนายกฯ ก็สั่งให้ เลขาฯ สมช. มือขวามาเป็นคนแก้ไขสถานการณ์ พร้อมเป็นกาวใจให้กับทั้งทางสาธารณสุข และ กทม. เร่งจบประเด็นดังกล่าวก่อนจะบานปลายเป็นความขัดแย้งระหว่างพรรค
ก่อนที่การฉีดวัคซีนจะดำเนินไปบรรลุเป้าหมายอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ จึงไม่แปลกที่หากจะเกิดปัญหาหรือความผิดพลาดใดก็อาจจะต้องโดนฝ่ายตรงข้ามรัฐขยี้แผลให้ได้ตั้งแต่ตอนนี้ ด้วยเพราะประชาชนหลายฝ่ายมองว่ารัฐยังทำได้ดีไม่พอ และแม้ว่าการระบาดรอบใหม่ในครั้งหลังๆ นี้จะมาจากต่างประเทศ และประเทศรอบข้างในอาเซียนก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับไทย
แต่ด้วยตัวเลขผู้ติดเชื้อเฉลี่ยรายวัน 2-3,000 ต่อวันมาร่วมๆ เดือน ตลอดจนปริมาณการเสียชีวิตที่คงที่คือราวๆ 20 คนต่อวัน ซึ่งถือว่าสถานการณ์ยังไม่สงบเลย เพราะเมื่อดับไฟที่จุดหนึ่งก็มีที่อื่นผุดขึ้นมาใหม่ทำให้การบริหารสถานการณ์ไม่สิ้นสุด เช่นนี้จึงสร้างความกังวลให้กับประชาชน ตลอดจนยิ่งทำให้การที่จะกลับมาเปิดเมืองทำธุรกิจเป็นไปได้ยาก จนกว่าจะฉีดวัคซีนไปถึงระดับหนึ่ง ช่องว่างของปัญหาเหล่านี้ที่กระทบประชาชนบวกกับความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมฯจากการบริหารสถานการณ์ จึงเป็นเหตุให้ฝ่ายตรงข้ามปั่นกระแสยุบสภา แต่สถานการณ์จะถึงจุดที่ต้องยุบสภาจริงหรือ ปัจจัยจริงๆ ที่จะทำให้นายกฯยอมยุบสภาหรือลาออกคืออะไร?
ตามประวัติศาสตร์การเมืองไทยต้องถอยหลังกลับไปกว่า 30 ปี การลาออกของนายกฯ ครั้งสุดท้ายคือการลาออกของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ลาออกท่ามกลางวิกฤติการเงินและเศรษฐกิจปี’40 ที่การลอยตัวค่าเงินบาทตอนนั้นทำให้ไม่สามารถคาดการณ์สถานการณ์เศรษฐกิจต่อไปได้เลย
แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันนับไปแล้วก็ไม่ได้ร้ายแรงเท่ากับและพอที่จะประเมินได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังฉีดวัคซีนได้ตามเป้าและตอนนี้เราก็เริ่มเดินหน้าสู่จุดนั้นที่ภาพชัดขึ้นทุกวันแล้ว เส้นทางนี้ก็อาจไม่ใช่ทางออกอย่างที่หลายฝ่ายพยายาม ประกอบกับกฎหมายว่าด้วยการสรรหานายกฯ ที่ต้องสรรหาจากรายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอตั้งแต่ช่วงเลือกตั้ง จึงทำให้เกิดข้อจำกัดในการสรรหานายกฯที่รู้กันอยู่แล้วว่าเป็นได้ยากที่จะให้เลือกนายกฯ คนใหม่ในสภาชุดปัจจุบัน และหากมองไปถึงความพร้อมในการเลือกตั้งของพรรคการเมืองขณะนี้ ก็จำแนกผู้มีบทบาทหลักที่มีสิทธิในการเป็นผู้นำรัฐบาลในครั้งหน้า ก็จะแบ่งได้เป็น 5 ก๊กหลักๆ ประกอบด้วย
1. ก๊กพลังประชารัฐ 2. ก๊กภูมิใจไทย 3.ก๊กประชาธิปัตย์ 4.ก๊กเพื่อไทย/เครือข่ายอดีตไทยรักไทย และ 5. เครือข่ายอดีตอนาคตใหม่ ที่ต้องบอกว่าเป็นก๊กเพราะตอนนี้และหลังจากนี้อาจมีพรรคการเมืองเกิดใหม่หรือกลุ่มพันธมิตรใหม่จาก 5 พรรคเหล่านี้
พลังประชารัฐผู้นำรัฐบาลในปัจจุบันก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะระส่ำระสายจากกระแสการเรียกร้องการยุบสภา ด้วยขุมกำลังภายในทั้งคนทั้งทุนที่พร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง สังเกตได้จากการเลือกตั้งซ่อมและเลือกตั้งท้องถิ่นในหลายพื้นที่ พลังประชารัฐก็สามารถกวาด สส. และท้องถิ่นเพิ่มได้ตลอด จะติดก็ตรงการจัดการอำนาจภายในพรรค ซึ่งในวันที่ 18 มิถุนายนนี้ ก็จะมีการจัดประชุมใหญ่ของพรรค เพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ที่ทุกฝ่ายจับตาคือ การเลขาธิการพรรค ที่ปัจจุบันคือ
นายอนุชา นาคาศัย ตัวแทนกลุ่มสามมิตร ตามข่าวที่อาจเปลี่ยนเป็น ร.อ.ธรรมนัส นั้นที่มีทั้งจุดเด่นและจุดที่เป็นเป้า เพราะด้วยภาพลักษณ์และกระแสข่าวก่อนหน้านี้ของ ร.อ.ธรรมนัส ที่อาจส่งผลต่อพรรคหรือไม่?
แต่ถ้าหากมองเป้าทางการเมืองทั้งชั้นเชิงในการควบคุมบริหารคนทั้งยังเป็นตัวแทนคนสนิทของพลเอกประวิตร และที่สำคัญคือหากมองที่เป้าหมายสู้ศึกเลือกตั้ง ก็จะทำให้หัวหน้าพรรคตัวจริงของพรรคเพื่อไทยหนาวๆ ไม่น้อย เพราะเชื่อว่า หากเป็นชื่อร.อ.ธรรมนัส ขึ้นมาจริงก็จะกลายเป็นแม่เหล็กให้ สส.พรรคเพื่อไทยเข้ามาได้อีกไม่น้อยหรือไม่? และเผลอๆ ก็อาจจะดูด สส.พรรคร่วมด้วยกันเองไปอีกไม่น้อย พรรคร่วมที่ว่าคือ ทั้งพรรคเล็กๆ และพรรคใหญ่ด้วยซ้ำ ก็เป็นสิ่งที่หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐรอดูฝีมือ
อย่างไรก็ตาม ก็มีกระแสข่าวการแตกพรรคแบบไม่แตกแยกของก๊กพลังประชารัฐ ไปอย่างน้อยอีก 1 พรรคหรืออาจจะถึง 2 พรรค ขึ้นกับกติกาเลือกตั้งใหม่ที่จะออกและเพื่อเป็นทางเลือกให้กับทั้งประชาชน และทางเลือกให้กับนักการเมืองจากขั้วต่างๆ ได้เข้ามา เพราะบางคนอาจไม่สะดวกใจที่จะเข้าพลังประชารัฐโดยตรงและอีกส่วนหนึ่งก็เพื่อลดความขัดแย้งภายในพลังประชารัฐเอง ถ้าเป็นเช่นนี้จริงหลังเลือกคณะกรรมการบริหารชุดใหม่คงได้เห็นการขยับตัวของ พรรคทางเลือกอีกสองพรรคมากขึ้นหรือไม่
ขณะที่พรรคภูมิใจไทย ที่เอาเข้าจริงๆ ตอนนี้อาจต้องรวมพันธมิตร เพราะที่ผ่านมาในสภาชุดนี้พรรคภูมิใจไทยถือเป็นพรรคที่มีสส.ย้ายเข้าพรรคไม่น้อย และยังมีสส.พันธมิตรในสภาจากพรรคอื่นที่พร้อมยกมือโหวตให้ ตลอดจนคาดการณ์ว่าหากมีการเลือกตั้งครั้งต่อไปอาจมีสส.ย้ายเข้าอีกไม่น้อยเช่นกันและไม่เว้นแม้ในพรรคร่วมฯด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โควิดทำให้เกิดความขัดแย้งบ้างระหว่างหน่วยงาน จนเกิดประเด็นตอนอภิปรายงบประมาณที่ผ่านมา แต่นอกจากกระทรวงสาธารณสุขแล้วเมื่อไปดูโครงการใหญ่ๆ ของพรรคภูมิใจไทยโดยเฉพาะในกระทรวงคมนาคม ที่ยังมีโครงการสำคัญอีกหลายโครงการยังคงค้างอยู่ ภายในปีงบประมาณนี้และปีงบประมาณหน้า จึงไม่แน่ใจว่าพรรคภูมิใจไทยจะพร้อมร่วมวงอยากให้มีการยุบสภาตอนนี้จริงหรือไม่?
ขณะที่ประชาธิปัตย์ ที่แม้จะดูจะเงียบเหงาที่สุด และไม่รู้ว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะมีสส.ย้ายออกอีกหรือไม่ เพื่อไปอยู่ในพรรคร่วมฯ พรรคอื่นหรือแม้แต่ คุณกรณ์ ที่ออกมาตั้งพรรคใหม่แล้วอย่างพรรคกล้า แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่คุมเก้าอี้ประธานรัฐสภา ก็ยากที่พรรคพลังประชารัฐจะปล่อยให้หลุดออกจากพรรคร่วมฯ ยังคงต้องอยู่ร่วมกันไปจนจบ
ฟากฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทย ที่กำลังประสบปัญหาการโดนจีบ สส.ให้ย้ายขั้ว ต้องจับตาดูต่อไปตั้งแต่การเปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐว่าจะมีผลต่อพรรคเพื่อไทยหรือไม่ รวมถึงกรณีที่คุณหญิงสุดารัตน์เองที่ก็แยกตัวออกมาตั้งพรรคการเมืองใหม่แล้ว จะมีผลต่อการดึงสส.ของพรรคเพื่อไทยได้แค่ไหนโดยเฉพาะพื้นที่ กทม. ที่อีกไม่นานก็คงได้เห็นคุณหญิงสุดารัตน์เริ่มขยับโดยเฉพาะพื้นที่ กทม.
อย่างไรก็ตามการกลับมาของโทนี่ก็สร้างความปั่นป่วนให้กับรัฐบาลไม่น้อยเพราะมาในรูปแบบใหม่ที่รุกหนักในโซเชียล ประกอบกับทีมงานคนรุ่นใหม่ของพรรคเพื่อไทยที่ตอนนี้ดูจะเป็นที่สนใจของกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้นกว่าเดิมมากจนอาจไปทับพื้นที่ของก้าวหน้าก้าวไกล ซึ่งต้องให้เวลามากกว่านี้มีโอกาสสูงที่จะยึดพื้นที่นี้ได้ อย่างไรก็ตามยังไม่แน่ใจว่าจะมีการแตกพรรคออกมาอีกครั้งในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่เพราะยังไม่ถึงเวลา
ก๊กที่ลำบากที่สุดอาจกำลังเป็นของกลุ่มเครือข่ายอนาคตใหม่ ที่ตอนนี้โดนรุกทั้งพื้นที่ในสภาจากจำนวน สส.ที่ลดลง และบางส่วนที่แอบปันใจไปโหวตให้กับซีกรัฐบาล และบางส่วนครั้งหน้าจะย้ายไปอยู่กับเพื่อไทยหรือไม่ ขณะที่นอกสภาที่ตอนนี้การเมืองบนท้องถนนที่เงียบไปแต่ในโซเชียลก็โดนรุกพื้นที่คนรุ่นใหม่จากโทนี่และทีมไปมาก นี่ยังไม่นับผลงานเลือกตั้งท้องถิ่นสองครั้งที่ผ่านมาที่พลาดกว่าเป้าที่วางไว้มาก
ดูไปแล้วแม้รัฐบาลจะมีปัญหาจากสถานการณ์โควิด และการบริหารสถานการณ์ที่ประชาชนยังไม่พอใจนัก แต่ปัจจัยการเมืองของทั้งพรรคในพรรคร่วมฯที่ยากที่จะปล่อยมือกันตอนนี้ ก็ยากที่จะบีบให้นายกฯยุบสภา และหากนายกฯบริหารสถานการณ์ช่วงฉีดวัคซีนนี้ผ่านไปได้ จนถึงช่วยบริหารงบประมาณฟื้นฟูเศรษฐกิจจากโควิด เกมอาจจะเปลี่ยนไปแล้ว อย่างไรก็ตาม พลเอกประยุทธ์ก็ต้องมาออกโรงย้ำเองว่า จะอยู่จนครบวาระแน่นอนไม่มียุบสภา
ส่วนหนึ่งก็คือต้องเรียกความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและ ข้าราชการ เพราะงานที่ทำค้างไว้ก็ต้องการความร่วมมือของข้าราชการในการผลักดันไปสู่การปฏิบัติ และมีการกำชับในที่ประชุมครม. ว่า ให้เร่งทำโครงการที่ได้วางเอาไว้ให้เรียบร้อยโดยเร็ว เพราะมีเวลาเหลืออีกเพียง 1 ปีเศษ
“จะมีชีวิตอยู่โดยทรงคุณค่าเป็นที่ลำบากก็จริง จะตายให้มีคุณค่ายิ่งยากเข็ญกว่ามากนัก”
(โกวเล้ง จาก มังกรเมรัย)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี