ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีประกาศโรดแมป “120 วัน เปิดประเทศ” นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊คเรื่อง “อย่าให้นายกรัฐมนตรีปักหมุด 120 วัน เปิดประเทศคนเดียว” ความว่า...
ผู้นำต้องกล้าที่จะนำประเทศพาประชาชนไปข้างหน้าและต้องพร้อมบริหารความเสี่ยงไปในเวลาเดียวกัน การบริหารในช่วงวิกฤติจะละล้าละลัง กลัวๆ กล้าๆ ไม่ได้ เพราะเวลาที่ผ่านไปคือการสูญเสียโอกาสและความยากลำบากมากขึ้นทุกขณะของประชาชนและประเทศชาติ
ถ้าล็อกดาวน์นานไป ประชาชนจะไม่มีกิน และธุรกิจจะปิดตัวเองมากขึ้น จนเครื่องยนต์เศรษฐกิจดับทุกสาขาทั้งภาคการท่องเที่ยว ภาคการบริการ ธุรกิจการเงิน การลงทุนพาณิชยกรรม อุตสาหกรรม การค้าระหว่างประเทศและการเงินการคลังของประเทศรวมทั้งขีดความสามารถในการแข่งขันที่ลดต่ำลงไปเรื่อยๆ
การตัดสินใจประกาศวันดีเดย์ทำให้เกิดเป้าหมายและความหวัง แต่ขณะเดียวกันเราต้องเผชิญกับ 2 ความเสี่ยง
ความเสี่ยงแรก คือ สงครามโควิด-19 ความเสี่ยงที่สองคือ สงครามเศรษฐกิจ หากบริหารได้ดี ความเสี่ยงและความสูญเสียจะลดลงมา ประเทศไทยและคนไทยจะเริ่มทำมาหากินได้ เศรษฐกิจจะเริ่มขยับขยายตัวได้อีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งทุกคนต้อง “ร่วมมือกัน” ฟันฝ่าผ่าความเสี่ยงที่เรียกว่า Next normal ร่วมกัน
ผมมีความเห็นเป็นข้อเสนอโดยสุจริตใจ ประเด็นวาระโควิด 6 ข้อเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงและการดูแลประชาชนกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ
1.วัคซีนต่างประเทศ - ต้องเปิดกว้างให้ทุกฝ่ายจัดหาและช่วยระดมฉีดให้ได้ตามเป้าหมายโดยเร็วที่สุด ยิ่งฉีดเร็วฉีดมาก ยิ่งลดความเสี่ยงของสงครามโควิด-19 ได้มากที่สุด อย่าให้พลาดพลั้งเหมือนช่วงแรกๆ ของการจัดหา
2.วัคซีนไทย - ต้องสนับสนุนเงินทุนให้มากที่สุดกับการวิจัยและพัฒนาวัคซีนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมทั้งมหาวิทยาลัยอื่นๆ ในการผลิตวัคซีนของเราเองในทุกความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีวัคซีนโดยเฉพาะเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโควิดจากพืช (Plant based vaccine technology) ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือนสามารถผลิตวัคซีนใหม่ๆ ได้ ซึ่งใช้รับมือกับกรณีโควิดกลายพันธุ์ หรือโควิดสายพันธุ์ต่างชาติที่ระบาดเข้ามาในประเทศไทยทั้งก่อนและหลังการเปิดประเทศ (เมื่อเดือนที่แล้วผมได้ไปหารือกับคณะผู้บริหารและทีมนักวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พร้อมดูความก้าวหน้าของการผลิตวัคซีนจากพืชของบริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพของจุฬาฯมาแล้ว ซึ่งได้ผลดีมากในการฉีดทดสอบกับลิงและหนู โดยพร้อมจะทดสอบกับคนในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า และดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีเกษตรฯ กำหนดไปประชุมหารือกับท่านอธิการบดีบัณฑิตที่จุฬาลงกรณ์วันที่ 25 มิถุนายนนี้ ส่วนที่แคนาดามีบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกร่วมกันพัฒนาวัคซีนโควิดจากพืชและประกาศจะนำออกสู่ตลาดในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า)
3.การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว - เป็นการจุดเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่มีทั้งโอกาสและความเสี่ยง เมื่อกล้าเปิดก็ต้องเปิดแบบมีกลยุทธ์ กล่าวคือ ต้องไม่บริหารแบบ
ท็อปดาวน์เพียงอย่างเดียว จึงไม่ควรแค่กำหนดจากข้างบนให้เริ่มที่ภูเก็ตหรือบางพื้นที่ตามที่ ศบค.ตั้งเป้าหมายแรก แต่ควรเปิดหลายๆ พื้นที่ หลายๆ จังหวัดทั่วประเทศพร้อมๆ กัน โดยให้จังหวัดที่ต้องการเปิดรับนักท่องเที่ยวเสนอแผนและมาตรการป้องกันโควิดให้ ศบค. พิจารณา แบบเสนอจากล่างขึ้นบนด้วย ถ้าเห็นว่าทำได้ก็เดินหน้า โดยรัฐบาลให้การสนับสนุนทั้งงบประมาณ เครื่องมือ และกำลังคน
นี่คือกลยุทธ์การบริหารจัดการประเทศไม่ใช่บริหารจังหวัด เมื่อกล้าเปิดประเทศก็ต้องคิดใหญ่ทำใหญ่ หากเป็นเช่นนี้ เศรษฐกิจจะมีฐานขยายตัวกว้างขึ้นและเร็วขึ้น
“วงล้อแห่งธุรกิจจะกลับมาหมุน” ตลอดห่วงโซ่ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
ต้องเข้าใจว่า ประชาชนและธุรกิจทั่วประเทศ (ไม่ใช่แค่ภูเก็ต) ที่ติดหล่มโควิดมากว่าปีแล้ว ลมหายใจใกล้หมด จึงต้องทำเร็วที่สุด และเปิดในทุกพื้นที่ที่มีความพร้อมในมาตรการป้องกันโควิด-19 ดีที่สุด รวมทั้งต้องกระจายอำนาจและมอบอำนาจจริงๆให้ราชการส่วนภูมิภาคและท้องถิ่นอย่ารวบอำนาจไว้ที่ส่วนกลางอย่างที่ผ่านมา
4.การพยุงประชาชนและประเทศ – ภาครัฐต้องดำเนินการเยียวยาทุกมาตรการต่อไป แม้จะต้องใช้งบประมาณหรือเงินกู้มาเยียวยา โดยเฉพาะคนยากคนจน เกษตรกร และเอสเอ็มอี อย่ากังวลเรื่องเพดานเงินกู้ มากนัก ประเทศไทยมีศักยภาพมากพอในการสร้างรายได้ ถ้าบริหารถูกทิศถูกทาง การใช้หนี้ในอนาคตก็ไม่ใช่เรื่องยาก ตอนนี้ต้องช่วยประชาชนช่วยธุรกิจให้อยู่รอด เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจในวันข้างหน้า
5.ความรับผิดชอบร่วมกันต่อ Next normal ของการเปิดประเทศ - ผมคิดว่าเราทุกคนทุกฝ่ายต้องร่วมรับผิดชอบร่วมแรงร่วมใจฝ่าฟันวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน อย่าให้เป็นภาระหน้าที่ของรัฐบาลฝ่ายเดียว เพราะวิกฤติครั้งนี้ใหญ่กว่าทุกสงครามที่ประเทศของเราเคยเผชิญ มีเดิมพันที่สูงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ “เราจะแพ้ไม่ได้” ดังนั้น ในวันนี้ ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ทั้งสภาผู้แทนและวุฒิสภา ภาครัฐ ภาคเอกชน ทุกภาคีภาคส่วน ต้องผนึกกำลังกัน “เอาการเมืองไว้ข้างหลัง เอาบ้านเมืองไว้ข้างหน้า”
6.การบริหารจัดการต้องโปร่งใสไร้ทุจริต-ต้องไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวหรือพรรคพวก หรือผลประโยชน์ทับซ้อนไม่ว่าในรูปแบบใด และต้องจัดการเฉียบขาดกับใครก็ตามที่ทุจริตประพฤติมิชอบกับเรื่องการจัดหาวัคซีนหรือการจัดซื้อเวชภัณฑ์ใดๆ ในทุกระดับ
ก่อนหน้านี้ ผมเสนอยุทธศาสตร์ “ 1 ปิด 1 เปิด” โมเดลเพชรบุรี และเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ร่วมกับทุกภาคีภาคส่วน คือ “ปิดโควิด เปิดเศรษฐกิจ” ให้เร็วที่สุดไปพร้อมๆ กัน เพราะถ้าล็อกดาวน์อย่างเดียว ก็อดตายทั้งประเทศ หรือถ้าเปิดประเทศโดยไม่ป้องกันโควิดดีพอ ก็จะระบาดใหญ่ ป่วยตายทั้งประเทศ ทั้งนี้ ตั้งเป้าหมายเปิดเพชรบุรีตั้งแต่ 1 ตุลาคมนี้ ซึ่งเผอิญเป็นแนวทางเดียวกันกับท่านนายกรัฐมนตรีประกาศเปิดประเทศไทย
ผมจึงเห็นด้วยกับการปักหมุด 120 วัน เปิดประเทศ และขอแสดงความเห็นมา ณ โอกาสนี้ครับ ขอเพียงอย่าให้เป็นการปักหมุดเปิดประเทศของท่านนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว เพราะสงครามโควิดและสงครามเศรษฐกิจ รุนแรงและวิกฤติเกินกว่าใครคนใดคนหนึ่งจะรับมือได้ ประการสำคัญคือประเทศนี้เป็นของทุกคนและอนาคตก็เป็นของพวกเราทุกคน.
ขณะที่ “กล้า” ภาณุวัฒน์ จิตติวุฒิการ ช่างภาพ/เจ้าของธุรกิจร้านอาหาร ร้านเบเกอรี่ เมืองพัทยาได้สะท้อนความในใจเรื่อง “เปิดประเทศให้ได้อีก 120 วัน จะลองเชื่อลุงอีกสักครั้ง” ออกมาอย่างน่าสนใจว่า...
“...เหมือนกับอะไรหลายๆ อย่างที่ลุงสัญญาแล้วไม่เคยทำได้ แล้วทำไมผมถึงต้องเชื่อคนอย่างลุงอีก...
ผมคงไม่มีวันกลับมาเชื่อมั่นในตัวลุงอีกแล้ว แต่ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นๆ ถ้าไม่อยากเห็นประเทศชาติพังพินาศ ผมต้องร่วมมือกับลุง รอบนี้ผมจะลองเชื่อลุงอีกสักครั้ง ผมขอให้ลุงทำให้สำเร็จ ผมจะให้ความร่วมมือทุกอย่าง เพราะผมเองก็ไม่มีอะไรให้เสียอีกแล้ว ผมเชื่อว่ามนุษย์เรานั้นล้มเหลวร้อยครั้งทำสำเร็จสักหนึ่งครั้งก็ถือว่าไม่เสียชาติเกิดมาเป็นคน
ลุงรู้บ้างมั้ยว่าผมต้องเจ็บต้องเสียหายเพราะเชื่อลุงมากี่ครั้ง แล้วลุงรู้บ้างมั้ยว่า กี่ครั้งกี่หนที่รัฐบาลลุงทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วก็โยนโทษว่าเป็นความผิดประชาชน... ผมให้โอกาสลุงแล้ว ตอนนี้ผมอยากขอโอกาสให้ลุงเปิดใจฟังพวกผมบ้าง
ลุงครับ ที่ผ่านมาหนึ่งปีครึ่ง เราคนในวงการท่องเที่ยวนั้น ก็ได้อดทน ดิ้นรน พยายามยื้อกันมาให้นานที่สุด เผื่อหวังว่าสักวันทุกอย่างมันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ทุกๆ วัน ทุกๆ เช้าที่ลืมตาขึ้นมา เราคนไทยก็ปลอบใจตัวเองมาตลอด ว่า “เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น เดี๋ยวอีกสักพักมันก็จะผ่านพ้นไป” แต่ในชีวิตจริง ทุกๆวันเราก็ต้องมานั่งเห็น นั่งฟังว่า ร้านนั้นร้านนี้ปิดตัว พรุ่งนี้อาจจะเป็นร้านเราที่ไม่รอด ผมจะปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ดังนั้น การวางเป้าหมาย 120 วัน ของลุงรอบนี้ มันมีชีวิตผมและชีวิตคนไทยทุกคนเป็นเดิมพันด้วย ผมเลยอยากให้มันเป็นเป้าหมายที่ทำสำเร็จ ไม่ใช่ทำแบบ เปิดประเทศแล้วก็ซุกปัญหาต่างๆ เอาไว้ใต้พรม ผมเลยอยากรู้ว่าประชาชนจะมีส่วนร่วมให้การช่วย ในทำให้ ประเทศไทย เปิดประเทศให้ได้ใน 120 วัน ได้อย่างไร
นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่า เราจำเป็นต้องจัดการ ก่อนจะกลับมาเปิดประเทศ
1) ในวันที่ธุรกิจโดยเฉพาะการท่องเที่ยวล้มหายตายจากไปมากมายขนาดนี้ การจะกลับมาเปิดประเทศ ให้คนทั่วโลก กลับมาเยี่ยมชมประเทศไทยสิ่งแรกที่เราต้องทำ คือ จัดการปัดกวาดบ้าน เตรียมความพร้อมกับบ้านเมืองเราให้เรียบร้อย ไม่ใช่เปิดประเทศมาให้ชาวต่างชาติเขาเข้ามาดูความล่มสลายของธุรกิจไทย มองไปทางไหนก็มีแต่ร้านรวงที่ปิดตัว ตรงนี้รัฐและเอกชนต้องร่วมมือกัน หาทางให้ทุกธุรกิจกับมาเปิด ใน อีก 120 วันให้ได้ เงินทุนเปิดร้านเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับทุกธุรกิจขนาดเล็ก ควรมีการช่วยเหลือให้ธุรกิจที่ต้องการกลับมาเปิดเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ส่วนที่กู้ยืมมาแล้วก็ควรมีมาตรการช่วยลดการผ่อนชำระเพื่อให้ธุรกิจมี
สภาพคล่อง การช่วยจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟให้ธุรกิจที่เพิ่งกลับมาเปิดใหม่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้ร้านค้าต่างๆกลับมาเปิดได้เร็วขึ้น
2) ผมยังเชื่อว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่ยังคงเป็นจุดแข็งของการท่องเที่ยวไทย ก็คือ “คนไทยที่อยู่ในภาคบริการการท่องเที่ยว” ไม่ว่าจะเป็น ไกด์ พนักงานต้อนรับของโรงแรม คนขับรถ หมอนวด ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ครูสอนโยคะ จนถึงอาชีพที่ทุกคนรู้แต่ไม่มีใครกล้ารับความจริง อย่างเช่นสาวบาร์ คนเหล่านี้ทำหน้าที่เชื่อมความสัมพันธ์ สร้างความอบอุ่น สร้างรอยยิ้มให้นักท่องเที่ยว แต่ในเวลานี้บุคคลเหล่านี้ ยังตกงาน หากภาครัฐสามารถช่วยเหลือให้พวกเขาเหล่านี้กลับมายืนบนลำแข้งของตัวเองได้ ก็จะเป็นการใช้กระสุนนัดเดียวยิงนกได้สองตัว เพราะเป็นการย้ำเตือนให้ผู้คนทั่วโลกจดจำว่าทำไมไทยจึงเป็นประเทศหมุดหมายในดวงใจของคนทั่วโลก เพราะเราคือประเทศที่ช่วยเหลือกันและกัน เป็นการสื่อสารกับคนทั่วโลกอีกด้วยว่า เราพร้อมดูแลพวกคุณแล้ว แต่ก่อนที่เราจะดูแลพวกคุณ เราก็ได้ช่วยเหลือและดูแลคนในประเทศของเราเรียบร้อยแล้ว เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ภาครัฐต้องเป็นสะพานเชี่อมลูกค้าและผู้คนที่อยู่ในภาคบริการการท่องเที่ยวได้กลับมาพบกันให้ได้
การดึงแรงงานกลับมาสู่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เป็นอีกหนึ่งปัญหา ผมขอยกตัวอย่างอเมริกาในเวลานี้ที่เศรษฐกิจกลับมาคึกคัก ร้านอาหารโรงแรมกลับมาเปิด แต่กลับหาแรงงานเข้าสู่ระบบไม่ได้ ตรงนี้รัฐต้องมีแผนการรองรับ เช่น นโยบาย หากธุรกิจไหนมีการจ้างงานในภาคการท่องเที่ยวเพิ่ม รัฐต้องมีการรับประกันว่า ทั้งธุรกิจและแรงงานจะได้รับการคุ้มครอง หากเกิดคำสั่งปิดจากภาครัฐอีก รัฐควรรับประกันว่า แรงงานที่กลับมาทำงาน จะได้รับการรับประกันค่าจ้างอย่างน้อย 6 เดือน ตอนนี้ไม่มีใครอยากกลับมาเสี่ยงทำงาน โดยไม่รู้ว่ากลับมาแล้ว จะโดนเลิกจ้างอีกเมื่อไหร่
3) เราไม่ควรเอาความสำเร็จในอดีตมาเป็นตัววัดผลในปัจจุบันหรืออนาคต ผมรู้ว่าไม่มีใครเนรมิตให้ทุกอย่างให้กลับมาเหมือนเดิมได้ แต่ ณ เวลานี้ เรายังมีโอกาสเริ่มต้นใหม่ หลังจากที่เราล้ม ก้าวแรกของเรา คือก้าวที่สำคัญ เพราะหากเดินก้าวแรกผิดก้าวต่อไปก็ผิดจังหวะหมด
ผมเชื่อว่า 90% ของนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกที่จะมาไทยนั้นเป็น return visitor คือ กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เคยเดินทางมาไทยหลายครั้ง พวกเขาต้องประทับใจอะไรสักอย่างในไทยแหละ ถึงเลือกเข้าคิวมาไทยเป็นกลุ่มแรก จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกอาจจะไม่มากมายเท่าไหร่ ยอดรายจ่ายต่อหัวก็คงยังไม่สูงมาก แต่ถ้ามองในมุมการตลาดแบบ customer lifetime value แล้ว พวกเขาคือคำตอบที่เราต้องการในเวลานี้แม้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้จะอยู่แค่หลักแสน จากที่เคยเข้ามาถึง สี่สิบล้าน เราก็ยังมีความหวัง เพราะคนในภาคบริการรู้ว่า เราสามารถทำให้ลูกค้ากลุ่มน้อยที่มาหาเราในวันนี้ให้กลายเป็นลูกค้าอีกหลายล้านคนในอนาคตได้ ด้วยการแสดงออกให้โลกเห็นว่า เราพร้อมต้อนรับลูกค้าแม้จะมีแค่น้อยนิดอย่างเต็มที่อย่างเต็มกำลัง ทำให้มันเป็น “น้อยนิดมหาศาล” ให้ได้ เปลี่ยนนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกที่กลับมาให้เป็นคอนเทนต์ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไทยที่ทรงพลังให้ได้
4) ในเมื่อเรากำหนดวันเปิดประเทศที่ชัดเจนแล้ว เราก็ต้องสื่อสารไปถึง เอเจนซี่ท่องเที่ยวต่างๆ ทั่วโลก ว่า เริ่มเปิดขายประเทศไทยได้แล้วนะ เราควรมีนโยบายสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวอย่างไร เช่น จองตอนนี้ สามารถยกเลิกได้ฟรี หรือเพิ่มเวลา tourist visa จาก 100 วันเป็น 120 วัน อาจจะมี โปรโมชั่น ตั๋วเครื่องบินมาไทยฟรี 20,000 ที่นั่ง ให้เอเย่นต์ทั่วโลกเอาไปทำการตลาด ไหนๆ เราก็ยังต้องมีสายการบินไทยเพื่อรองรับอยู่แล้ว ตรงนี้จะช่วยให้จำนวนไฟลท์บินมีเพิ่มมากขึ้น พอที่จะกลับมาบินได้
5) สำหรับ “ประชาชน” เราก็ต้องช่วยกัน ทำให้โควิดหมดประเทศโดยเร็ว ทุกคนต้องมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ไม่มีใครเอาเปรียบกันและกัน ไม่ทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการระบาดของโรค ไม่ประมาทเรื่องการป้องกัน แม้จะฉีดวัคซีนแล้ว เมื่อนักท่องเที่ยวมาเที่ยวไทย ก็ต้องช่วยกันทำหน้าที่เจ้าบ้าน ต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างมีไมตรีจิตในแบบที่เราเคยเป็น อย่าไปมองชาติโน้นชาตินี้ ว่า เป็นพาหะนำโรค โดยเฉพาะประเทศอย่างจีนและอินเดีย ในอนาคตเราต้องพึ่งพาสองชาตินี้ในการฟื้นฟูการท่องเที่ยวไทย
สุดท้าย จะเบื่อจะเกลียดลุงขนาดไหนรอบนี้ก็ต้องขอให้ความร่วมมือกับลุงอีกสักครั้ง เพราะเมื่อหันไปมองรอบๆตัวคุณในเวลานี้ จะรู้ว่า ในเวลานี้ ไม่มีใคร นอกจากคนไทยด้วยกันที่จะช่วยให้ประเทศไทยอยู่รอด ถ้าคนร่วมมือร่วมใจกันประเทศเราทำได้ดีไม่แพ้ชาติใดในโลก
เชื่อลุงอีกสักครั้ง แล้วท่องเอาไว้ในใจ ว่า เราไม่ได้ทำเพื่อลุงแต่เราทำเพื่อตัวเราเอง
หลายๆ คนเคยเตือนเคยบอกให้ผมถอดใจ แต่ผมทำไม่ได้ เพราะผมรักในสิ่งที่ผมทำ และผมยังรักประเทศไทยเกินกว่าจะเห็นบ้านเมืองพังทลายไปมากกว่านี้
ผมเชื่อว่า อะไรที่มีเป้าหมายร่วมกัน และทุกๆ คนร่วมมือร่วมใจกัน ประเทศเราทำได้ดีไม่แพ้ชาติใดในโลก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี