ยอดคนป่วยคนตายด้วย โควิด-19 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ยังแรงอยู่ คือ พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 3,667 รายแบ่งเป็นผู้ติดเชื้อใหม่ 3,232 ราย และผู้ติดเชื้อในเรือนจำ 435 ราย ยอดติดเชื้อรวมระลอกเมษายน 185,586 ราย รวมยอดติดเชื้อสะสม 214,449 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 32 ราย เสียชีวิตสะสม 1,609 ราย หายป่วยเพิ่ม 4,948 ราย รวมหายป่วยสะสม 181,358 ราย
ขอภาวนาให้คนป่วยคนตายลดลงกว่าเดิม
ก็มีบทความจากท่านผู้อ่าน ห่วงใยถึงสถานการณ์ ผมขอนำมาแบ่งบันแชร์ความรู้สึกต่อกันครับ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมประกาศโรดแมปเดินหน้าประเทศ โดยตั้งเป้าเปิดประเทศภายใน 120 วันเพื่อพลิกฟื้นประเทศไทยจากวิกฤติโควิด-19 ที่ฉุดสภาพเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวดิ่งลงจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
เป้าหมายการเปิดประเทศในครั้งนี้ รัฐบาลหวังให้ภาคเอกชน สถานที่ทำงาน และธุรกิจร้านค้าต่างๆสามารถกลับมาเปิดทำการได้ตามปกติ รวมทั้งเตรียมผ่อนคลายบางมาตรการเพื่อเปิดนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วให้เดินทางไปเที่ยวยังเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญๆ ในประเทศได้
หลังแถลงการณ์ดังกล่าว แน่นอนว่ามีหลายฝ่ายออกมาแสดงความกังวล เพราะประเทศยังควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ไม่ดี
แผนการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนก็ยังคงเจอกับอุปสรรคอย่างต่อเนื่อง ทำให้การเดินหน้าฉีดวัคซีนต้องสะดุดลง ไม่ก้าวหน้าอย่างที่ตั้งเป้าไว้ แถมการจัดหาวัคซีนให้พอเพียงตามความต้องการก็ยังไม่มีความแน่นอน แม้รัฐบาลจะย้ำว่าได้มีการลงนามจองหรือสั่งซื้อวัคซีนไปเพิ่มอีกว่า 100 ล้านโดสแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถระบุไทม์ไลน์หรือวันเวลาส่งมอบวัคซีนที่แน่นอนได้ ความหวังที่จะแจกจ่ายวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับคนไทยให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 70 เพื่อยุติการระบาดของไวรัสโควิดจึงยังไม่ชัดเจนนัก
นอกจากนี้ การเปิดประเทศก็ไม่ได้เป็นการการันตีว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาจนทำให้เศรษฐกิจพลิกฟื้นกลับมาได้ เพราะการระบาดทั่วโลกยังคงมีอยู่ ดังนั้นการเดินทางระหว่างประเทศ และความมั่นใจของนักท่องเที่ยวคงไม่กลับมาได้ง่ายๆ
แต่อย่างน้อยการประกาศแผนเปิดประเทศไทยใน 120 วัน ก็เป็นการแสดงวิสัยทัศน์เพื่อเรียกศรัทธาประชาชนคืน หลังจากที่ก่อนหน้านี้หลายๆ คนสูญเสียความเชื่อมั่นในการรับมือกับวิกฤติโควิด-19ของรัฐบาล อีกทั้งยังเป็นการส่งสัญญาณให้ทุกหน่วยงาน ทุกกระทรวง เร่งทำงานแบบบูรณาการมากขึ้น เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการฟื้นฟูประเทศที่มีการระบุไทม์ไลน์ที่ชัดเจน
เมื่อครั้ง ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็ได้ประกาศเป้าหมายว่าจะฉีดวัคซีนโควิด ให้ได้ 100 ล้านโดสใน 100 วัน หลังการเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งรัฐบาลสหรัฐก็เดินหน้าแผนการฉีดวัคซีนตามที่ได้ให้คำมั่นไว้ จนทำให้วันนี้ สหรัฐถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีการฉีดวัคซีนได้เร็วและมากที่สุดในโลก และความรุนแรงของการระบาดได้ลดลงอย่างมาก จากที่เคยมีผู้ติดเชื้อสูงถึงวันละ 2 แสนคน จนมาวันนี้เหลือเพียงวันละ 1 หมื่นคน และเพียงแค่ไตรมาสแรกของปีนี้ การเร่งเดินหน้าฉีดวัคซีนพร้อมอัดงบประมาณฟื้นฟู และเพิ่มการจ้างงาน ทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐ ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่า การประกาศเป้าหมายที่ชัดเจนทำให้รัฐบาลสามารถบริหารจัดการวิกฤติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แผนเปิดประเทศครั้งนี้จึงถือเป็นบทพิสูจน์ฝีมือรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา” ที่จะบริหารจัดการภาคส่วนต่างๆ ทั้งกระทรวง กรม และส่วนปกครองท้องถิ่นให้ทำงานเป็นเอกภาพ ประสานกันได้อย่างฉับไวไร้รอยต่อ สามารถปูพรมฉีดวัคซีนให้กับประชาชนได้ครบตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ พร้อมเดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องให้กับคนในชาติ เตรียมพร้อมสำหรับการเปิดประเทศให้ได้
ณ วันนี้ที่เรากำลังเริ่มนับถอยหลัง 120 วัน สิ่งที่ทำได้คือให้กำลังใจและขอให้รัฐบาลดำเนินงานให้สำเร็จได้ตามที่พูดไว้ เพราะอย่าลืมว่า 120 วันนี้ก็เป็นโอกาสสำหรับฝ่ายค้านและประชาชนที่จะได้ติดตามเร่งรัดการทำงานของรัฐบาลให้บรรลุผลที่ดีที่สุดกับประเทศชาติ แน่นอนว่า หากทำไม่ได้ตามที่พูดไว้ รัฐบาล
คงไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้ และคงต้องเจอกับคำถามถึงประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาลอีกครั้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี