นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ปักหมุดหมายไว้ว่า จะเปิดประเทศใน 120 วัน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การทำมาหากิน ชีวิตปากท้องของคนในประเทศให้เดินต่อไปให้ได้ โดยให้คำมั่นว่า จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รับวัคซีนมาฉีดตามเป้าหมาย และขอคนไทยร่วมใจกันเดินหน้าควบคุมโรค ฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และขับเคลื่อนประเทศไทยไปด้วยกัน ไม่มัวทะเลาะขัดแย้งกัน
น่าคิดว่า การเปิดประเทศใน 120 วัน ก็คือการเดินหน้าฟื้นเศรษฐกิจประเทศนั่นเอง
หากเดินหน้าเปิดประเทศได้จริงภายใน 120 วัน แน่นอนว่าเศรษฐกิจไทยย่อมจะปรากฏผลฟื้นคืนขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรมภายในสิ้นปีนี้ (6 เดือน) หรือช่วงเดือนมกราคมปีหน้า
เปิดประเทศใน 120 วัน ฟื้นเศรษฐกิจไทย ใน 180 วัน
ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ว่าจะไม่ต้องทำอะไรอีกเลย นั่งรอเปิดประเทศเลย แต่รัฐบาลลุงตู่จะต้องมีชุดมาตรการทางเศรษฐกิจออกมาอีกมากมาย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายข้างต้น
1. ล่าสุด สภาพัฒน์ ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2564 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.5-2.5
เท่ากับว่า ปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ (จากการลดลงร้อยละ 6.1 ในปี 2563)
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก (1) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณ การค้าโลก (2) แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐ และ (3) การปรับตัวตามฐานการขยายตัวที่ต่ำผิดปกติ ในปี 2563 ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ จะขยายตัวร้อยละ 10.3 ขณะที่การอุปโภค-บริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ 1.6 และร้อยละ 4.3 ตามลำดับ ส่วนการลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 9.3 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 0.7 ของ GDP
การคาดการณ์ของสภาพัฒน์ มีรายละเอียดที่มาของข้อมูล โดยการคาดการณ์ล่าสุดนี้ ได้ปรับตัวเลขลดลงจากเดิม เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดระลอกล่าสุดแล้ว
2. โจทย์บริหารเศรษฐกิจ 6 เดือนที่เหลือของปี’64
ล่าสุด สภาพัฒน์ ได้เสนอแนะในที่ประชุม ครม. ถึงประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี 2564 ระบุว่า การบริหารนโยบายเศรษฐกิจในปี 2564 (ช่วง 6 เดือนที่เหลือ) ควรให้ความสำคัญสิ่งต่อไปนี้
(1) การควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศ เพื่อให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงและอยู่ในวงจำกัดโดยเร็ว และการป้องกันการกลับมาระบาดรุนแรงในระลอกใหม่ โดยมุ่งเน้น
(i) การบังคับใช้มาตรการควบคุมโรคและป้องกันการระบาดของภาครัฐอย่างเคร่งครัด ควบคู่ไปกับการยกระดับกระบวนการเฝ้าระวังสอบสวนโรคเชิงรุก โดยเฉพาะ การเร่งรัดการตรวจเชิงรุกในเขตพื้นที่หรือชุมชนที่มีความเสี่ยงสูงในกรุงเทพฯ หรือเขตเมืองต่างๆ ที่ยังคงเผชิญกับสถานการณ์ การแพร่ระบาดรุนแรง รวมทั้งการดูแลและควบคุมกิจกรรมและกิจการบางประเภทที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของการระบาดของโรคอย่าง
เข้มงวด และการป้องกันการนำเข้าเชื้อไวรัสกลายพันธุ์เพิ่มเติมโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้ที่เดินทางข้ามชายแดน
(ii) การเร่งรัดจัดหาและกระจายวัคซีนให้กับประชาชน อย่างครอบคลุมทั่วถึงและเพียงพอเพื่อให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ โดยการจัดลำดับความสำคัญตามหลักการสาธารณสุขในการกระจายให้กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ควบคู่ไปกับการคำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่เศรษฐกิจทั้งในภาคการท่องเที่ยวและภาคการผลิตที่สำคัญ รวมทั้งมีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
(iii) การพัฒนาศักยภาพของระบบสาธารณสุข ให้เพียงพอต่อการรองรับการแพร่ระบาดในปัจจุบันและที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
และ (iv) การเร่งประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและชัดเจนให้แก่ประชาชนเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น ในการเข้ารับวัคซีน รวมถึงการรณรงค์เกี่ยวกับแนวทางในการปฏิบัติและดูแลตัวเอง เพื่อป้องกันการกลับมาแพร่ระบาดระลอกใหม่และลดโอกาสการกลับมาติดเชื้อซ้ำภายหลังได้รับวัคซีนแล้ว
(2) การดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชน แรงงาน และภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดและมาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ประกอบด้วย (i) การเร่งรัดติดตามมาตรการต่างๆ ทั้งด้านการเงินและการคลังที่ได้ดำเนินการไปแล้วให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการพิจารณามาตรการ
เพิ่มเติมและปรับเปลี่ยนมาตรการเดิมให้ตอบสนอง ภาคเศรษฐกิจและพื้นที่เศรษฐกิจที่มีข้อจำกัดในการ
ฟื้นตัว และสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันให้มากที่สุด (ii) การพิจารณามาตรการช่วยเหลือภาคแรงงานผ่านมาตรการรักษาระดับการจ้างงานให้แก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบ ควบคู่ไปกับการพิจารณามาตรการ
สร้างงานใหม่และมาตรการพัฒนาทักษะแรงงาน และ (iii) การพิจารณาดำเนินมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะต่อไปภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลายลง
(3) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้า เพื่อสร้างรายได้จากต่างประเทศและสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการลงทุนภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง
โดยให้ความสำคัญกับ (i) การขับเคลื่อนการส่งออก ไปยังตลาดหลักที่มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน และการสร้างตลาดใหม่ให้กับสินค้าที่มีศักยภาพ (ii) การเร่งรัดยกระดับการผลิตสินค้า เกษตร อาหาร และสินค้าอุตสาหกรรม ให้มีคุณภาพและมาตรฐานตรงตามข้อกำหนดของประเทศผู้นำเข้า รวมถึงการปกป้องความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ฯลฯ
(4) การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน
โดย (i) การเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุน ในช่วงปี 2561-2563 ให้เกิดการลงทุนจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการลงทุนที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม เป้าหมายของการส่งเสริมการลงทุนตามนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของประเทศ (ii) การแก้ไขปัญหา ที่นักลงทุนและผู้ประกอบการต่างชาติเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการประกอบธุรกิจในประเทศไทย เพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมกับการลงทุนและดึงดูดการลงทุนเพิ่มเติมจากทั้งภาคเอกชนของไทยและต่างประเทศ อาทิ ข้อจำกัดและอุปสรรคในการทำงานและการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยสนับสนุนในการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ (iii) การดำเนินมาตรการส่งเสริมการลงทุนเชิงรุกและอำนวยความสะดวกเพื่อดึงดูดนักลงทุนเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม เป้าหมายเพื่อให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น (iv) การส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) 10 จังหวัด และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในภูมิภาคมากขึ้น รวมถึงการขับเคลื่อนการลงทุนพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งที่สำคัญๆ ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ ฯลฯ
(5) การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ
โดยการเร่งรัดการเบิกจ่าย (i) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 92.5 แบ่งเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำ ร้อยละ 98.0 และงบลงทุนร้อยละ 70.0 (ii) งบเหลื่อมปี ไม่น้อยกว่าร้อยละ 85.0 (iii) งบลงทุนรัฐวิสาหกิจ ให้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70.0 และ (iv) แผนงานและโครงการตามพระราชกำหนดฯ เงินกู้วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ให้มีการเบิกจ่ายสะสม ณ สิ้นปีงบประมาณ 2564 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของวงเงินกู้
(6) การเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
เพื่อให้ภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่อง สามารถกลับมาฟื้นตัวได้ทันทีที่มีการกระจายวัคซีนทั้งในและต่างประเทศที่เป็นแหล่งต้นทางของนักท่องเที่ยว ครอบคลุมเป็นวงกว้างและเพียงพอต่อการสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ โดยควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาจัดสรรและกระจายวัคซีนให้แก่พื้นที่แหล่งท่องเที่ยวนำร่องในจำนวนที่เพียงพอ ควบคู่ไปกับการพิจารณาเตรียมความพร้อมของพื้นที่เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ทั้งในด้านระบบรองรับการเฝ้าระวังสอบสวนโรค การปรับปรุงที่พักและแหล่งท่องเที่ยวให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุขและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเตรียมระบบสนับสนุนความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินและการเดินทาง และการปรับปรุงการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะ
(7) การรักษาบรรยากาศทางการเมืองภายในประเทศ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
สรุป
ประชาชนคนไทย ไม่ว่าจะชอบพรรคการเมืองไหน ไม่ว่าจะรักหรือเกลียดพลเอกประยุทธ์ ล้วนสมควรจะช่วยกันผลักดัน สนับสนุน ขับเคลื่อนการเดินหน้าเปิดประเทศและฟื้นเศรษฐกิจให้บรรลุผลสำเร็จ เพราะเป็นประโยชน์ร่วมกันของคนไทยทั้งประเทศ
เว้นเสียแต่คนที่หนีคดีอยู่นอกประเทศ และพวกที่กลัวตัวเองจะไม่ได้มีอำนาจบ้าง ที่จะขัดแข้งขัดขาสร้างเงื่อนไข สร้างสถานการณ์ ที่เพิ่มอุปสรรค เป็นตัวถ่วงของประเทศชาติต่อไป
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี