สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยซึ่งเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนยังอยู่ในระดับการทรงตัว แต่ปัจจุบันมีทีท่าว่าเราอาจจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ให้ดีได้ เหมือนอย่างที่ประเทศไทยเคยมีชื่อเสียงในเรื่องนี้เมื่อมีการระบาดในระลอกที่ 1 จำนวนของผู้ป่วยรายใหม่ในแต่ละวันเพิ่มมากขึ้นเกือบจะโดยตลอด ผู้ป่วยที่รักษาหายเมื่อเทียบกับผู้ป่วยรายใหม่ก็มีจำนวนเหมือนจะน้อยลงเมื่อเทียบวันต่อวัน รวมทั้งจำนวนผู้เสียชีวิตก็มีตัวเลขที่เป็นจำนวนแตะระดับ 50 รายต่อวันอยู่ 2-3 ครั้งแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง
เกือบทุกวันที่มีการแถลงข่าวของ ศบค.นั้น จะมีการกล่าวถึงการระบาดที่เกิดขึ้นเป็นกลุ่มก้อนหรือคลัสเตอร์อยู่เสมอ และจำนวนของกลุ่มก้อนการระบาดนี้ก็เพิ่มเติมขึ้นในจุดต่างๆ ทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑลเกือบจะทุกวัน ทำให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลใจ และมีคำถามไปยังรัฐบาลว่า เหตุใดจึงไม่สามารถที่จะควบคุมการระบาดในลักษณะของคลัสเตอร์ได้
เมื่อพูดถึงการระบาดแบบคลัสเตอร์นั้นหลายคนเข้าใจว่า เป็นการระบาดที่เกิดขึ้นเป็นกลุ่มก้อนในแคมป์คนงานก่อสร้าง เกิดขึ้นในบริษัท หรือโรงงานที่มีผู้ทำงานเป็นจำนวนมาก แต่โดยความจริงแล้ว เมื่อมีการติดเชื้อเกิดขึ้นในกลุ่มคนงานเหล่านี้ หลายคนไม่ได้อาศัยอยู่ในสถานที่พักที่ทางโรงงานหรือบริษัทจัดให้ ฉะนั้นเมื่อกลับมาพักผ่อนกับครอบครัวหรือญาติพี่น้องตลอดจนเพื่อนฝูงในที่พักของตัวเองย่อมจะทำให้เกิดการระบาดและแพร่กระจายของโรค จึงทำให้เห็นว่าในแต่ละวันนั้นจะมีการระบาดในลักษณะที่เป็นกลุ่มก้อนขนาดย่อยคือครอบครัวเกิดขึ้นจำนวนมากมายด้วยเสมอ ทำให้มีการติดโรคตั้งแต่ระดับ 2-3 คน จนถึง 7-8 คนในครอบครัว รวมทั้งเด็กเล็กและผู้สูงอายุก็ป่วยติดเชื้อเป็นจำนวนมากด้วย
การป้องกันการระบาดของโรคไวรัสนี้เป็นที่ยอมรับกันดีว่าหากประชากรส่วนใหญ่เป็นจำนวนประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ได้รับการฉีดวัคซีน จะเป็นตัวช่วยทำให้การระบาดนั้นลดน้อยลงได้ รวมทั้งการฉีดวัคซีนก็จะทำให้อาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นไม่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต รัฐบาลไทยก็ได้ตั้งเป้าหมายในการระดมฉีดวัคซีนให้ได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ของประชากร ยกเว้นในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จนจัดให้มีวาระแห่งชาติของการฉีดวัคซีน ซึ่งได้เริ่มเปิดตัวเมื่อวันที่7 มิถุนายน ที่ผ่านมา แต่ก็เกิดอุปสรรคสำคัญคือจำนวนวัคซีนซึ่งจัดหาไว้นั้นมีจำนวนไม่เพียงพอ ทำให้เกิดความวุ่นวายอยู่ระยะหนึ่ง แต่ปัจจุบันนี้ก็ดูเหมือนจะเริ่มเข้าที่
ประกอบกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้มีการจัดหาวัคซีนเป็นตัวเลือกเข้ามาให้กับกลุ่มองค์กรหรือบริษัทที่จะเสียเงินซื้อ จากราชวิทยาลัย โดยมีการบริจาคจำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ กลับคืนเพื่อให้สถาบันฯนำไปฉีดให้กับผู้ยากไร้ได้ เพื่อฉีดให้กับพนักงานหรือสมาชิกของบริษัท ปรากฏว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ก็น่าจะเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยทำให้เพิ่มจำนวนของ
ผู้ได้รับการฉีดวัคซีนได้ และปัญหาการขาดแคลนวัคซีนอาจจะดีขึ้นด้วยเมื่อมีวัคซีนจากภาคเอกชนอื่นๆ เสริมเข้ามา เพียงแต่รัฐบาลจะต้องทำให้การจัดหาวัคซีนโดยภาคเอกชนนั้น เป็นไปได้สะดวกและมีความรวดเร็วให้ทันต่อสถานการณ์
ขณะนี้ประเทศไทยมีวัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยองค์การอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุขแล้วจำนวน 6 รายการคือวัคซีนของ แอสตราเซเนกา ซิโนแวค จอห์นสัน &จอห์นสัน โมเดอร์นา ซิโนฟาร์ม และล่าสุดคือ ไฟเซอร์ แต่ที่ถูกนำมาใช้ได้จริงในขณะนี้ยังมีเพียงแค่ 3 ตัวเท่านั้นคือ ซิโนแวคแอสตราเซเนกา และซิโนฟาร์ม จึงมีคำถามเสมอว่าแล้ววัคซีนตัวอื่นๆ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้วทำไมถึงยังไม่สามารถจะนำเข้ามาใช้ในเมืองไทยได้
เป็นโชคดีของเมืองไทยที่เรามีแพทย์และนักวิจัยเรื่องวัคซีนที่มีความรู้ไม่น้อยไปกว่าต่างประเทศ ทำให้ ณ ขณะนี้การดำเนินการวิจัยพัฒนาวัคซีนโดยศูนย์วัคซีน ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้การดำเนินการของ ศาสตราจารย์นายแพทย์เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ซึ่งได้เริ่มการวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิดสายพันธุ์โคโรนา 2019 โดยดำเนินการมาแล้วตั้งแต่ในขั้นสัตว์ทดลองจนถึงปัจจุบัน เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 15 เดือน และขณะนี้ได้มีความก้าวหน้าถึงขั้นการทดลองในคนในระยะที่ 2 แล้ว
โดยวัคซีนตัวนี้มีชื่อว่า ChulaCov 19 ซึ่งผลจากการทดสอบในกลุ่มประชากรจำนวนหนึ่งในระยะที่ 1 นั้นพบว่าประสิทธิภาพของวัคซีนตัวนี้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีไม่น้อยกว่าวัคซีนตัวอื่นที่มีอยู่ รวมทั้งน่าจะมีความปลอดภัยไม่แพ้กัน และยังพอทราบด้วยว่าจะใช้โดสเท่าไหร่ จึงจะปลอดภัยและให้ภูมิคุ้มกันสูงที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นวัคซีนที่สามารถจะจัดเก็บได้ในอุณหภูมิ 2-8 องศา ซึ่งเป็นอุณหภูมิปกติของตู้เย็นทั่วๆไป ได้ถึง 3 เดือนและที่อุณหภูมิ 25 องศา ได้อย่างน้อย 14 วัน ถึงแม้ว่ากระบวนการผลิตจะเป็นแบบเดียวกับวัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นา ซึ่งวัคซีน 2 ตัวดังกล่าว ต้องจัดเก็บที่ความเย็นติดลบอย่างน้อย 20 องศาขึ้นไป
หากการทดสอบวัคซีนในคนระยะที่ 2 ซึ่งจะดำเนินการในเดือนสิงหาคมนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ก็คาดว่าประมาณเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป วัคซีนตัวนี้น่าจะถูกนำเข้าสู่กระบวนการขอรับรอง เพื่อใช้เป็นวัคซีนในภาวะฉุกเฉินจากองค์การอาหารและยา และองค์การอนามัยโลก ซึ่งหากผ่านได้ก็ไม่จำเป็นจะต้องทำการทดลองในระยะที่ 3 ซึ่งจะต้องใช้เงินจำนวนมาก และสามารถนำวัคซีนตัวนี้เข้าสู่กระบวนการผลิตในเชิงอุตสาหกรรมได้เลย ซึ่งทางคณะผู้วิจัยได้มีการติดต่อกับโรงงานในประเทศไทยที่มีศักยภาพในการผลิตวัคซีนตัวนี้ไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว ก็จะทำให้ประเทศไทยมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพเป็นของตัวเอง และจะมีราคาที่ถูกกว่าวัคซีนที่ผลิตในแนววิธีเดียวกันจากต่างประเทศได้อย่างแน่นอน
ซึ่งนอกจากจะทำให้ประเทศไทยมีชื่อเสียงที่สามารถเป็นผู้คิดค้นพัฒนาวัคซีนของตัวเองได้แล้ว วัคซีนตัวนี้ยังจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งไม่ใช่เฉพาะต่อประชาชนชาวไทยเท่านั้น แต่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติทั้งโลกด้วยเช่นเดียวกัน
ที่สำคัญยิ่งจากการที่ได้รับทราบจากอาจารย์หมอเกียรตินั้นวัคซีนตัวนี้ได้เอาข้อด้อยของวัคซีนที่ผลิตด้วยเทคนิคเดียวกันตัวอื่นๆ มาเป็นโอกาสในการปรับปรุงวัคซีน ChulaCov19 ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น รวมทั้งเนื่องจากเป็นวัคซีนที่พัฒนาในระยะหลังกว่าตัวอื่น คือเป็นการพัฒนาเมื่อมีการระบาดของเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ เช่นสายพันธุ์เบต้าและเดลต้าเกิดขึ้นแล้ว จึงได้มีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อให้วัคซีนของจุฬาฯนี้สามารถจะใช้ป้องกันอันตรายที่เกิดจากเชื้อกลายพันธุ์ต่างๆ ได้ดีกว่าวัคซีนที่มีอยู่เดิมอีกด้วย
มีเพียงสิ่งหนึ่งซึ่งยังเป็นปัญหาและอุปสรรคของการผลิตวัคซีนตัวนี้คือเงินทุนที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เนื่องจากรัฐบาลเคยได้ตกลงว่าจะสนับสนุนเงินจำนวน 300 กว่าล้านบาทให้กับโครงการนี้ แต่จนถึงปัจจุบันก็ได้มาเพียงบางส่วน จึงมีข่าวออกมาว่าศูนย์วิจัยแห่งนี้อาจจะต้องระดมทุนจากประชาชนในการที่จะสนับสนุนให้การผลิตวัคซีนตัวนี้ดำเนินการต่อไปได้อย่างรวดเร็วและไม่มีอุปสรรคอีกต่อไป
โครงการฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติที่ดำเนินการมาถึงปัจจุบันนี้ มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วเป็นจำนวนมากกว่า 9 ล้านคน ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าที่ตั้งไว้ว่า ภายในสิ้นเดือนมิถุนายน จะต้องฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้ถึง 10 ล้านคน และในเดือนต่อๆ อีกไม่น้อยไปกว่าเดือนละ10 ล้านคน ซึ่งเมื่อถึงก่อนสิ้นปีนี้ก็จะมีจำนวนประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 70 เปอร์เซ็นต์ ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้จริง และการเปิดประเทศมากกว่านี้ก็น่าจะเกิดขึ้นได้ตามที่ท่านนายกฯได้ตั้งเป้า 120 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในกลางเดือนตุลาคมนี้
ความสำเร็จของวาระแห่งชาตินี้ จึงขึ้นอยู่กับจำนวนวัคซีนที่มีอยู่จากการสรรหาทั้งของภาครัฐและเอกชนต้องมีให้เพียงพอ และเข้าถึงได้โดยง่ายทั้งในกลุ่มประชากรที่รัฐบาลจะดำเนินการฉีดให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและกลุ่มประชากรที่สามารถรับภาระค่าฉีดวัคซีนได้เอง รวมทั้งการกระจายวัคซีนไปในสถานที่ต่างๆ ต้องเป็นไปอย่างครบถ้วน ตามเหตุผลที่ควรได้รับการสนับสนุนในแต่ละพื้นที่เสี่ยงซึ่งมีไม่เท่ากัน
แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือที่ใช้ตัวย่อว่าศบค. และกระทรวงสาธารณสุขต้องวางแผนจัดการให้การระบาดระลอกที่ 3 ที่ดูเหมือนจะลุกลามมากพอสมควรอยู่ ณ ขณะนี้สามารถจะถูกควบคุมได้ โดยเฉพาะในกลุ่มคลัสเตอร์ต่างๆ และครอบครัวซึ่งมีการระบาดต่อเนื่องเป็นจำนวนมากให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งหากเรื่องนี้มีการวางแผนในการจัดการที่ดี โดยการจัดการในเชิงรุกมากกว่าเชิงรับ ซึ่งอาจจะต้องหมายถึงการล็อกดาวน์สถานที่ต่างๆ พื้นที่ต่างๆ จังหวัดต่างๆ หรือแม้แต่กรุงเทพฯ ซึ่งอยู่ในโซนสีแดงมาโดยตลอดตั้งแต่การเริ่มต้นระบาดในระลอกที่ 3 โดยหากมีความจำเป็นที่ต้องทำก็ควรจะต้องดำเนินการไป แม้จะมีผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจเกิดขึ้นบ้าง แต่ถึงอย่างไรชีวิตของประชาชนและความสูญเสียที่เกิดขึ้นนั้นก็มีค่ามหาศาลไม่น้อยเช่นกัน
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี