ยังคงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วง สำหรับการประกาศปิดแคมป์ก่อสร้าง และห้ามการรับประทานอาหารในร้าน เป็นเวลา 1 เดือน หรือจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง ที่ดูจะเป็นปัญหาว่าขาด “ความแม่นยำ” และ “ความพร้อม” ในขั้นตอนการปฏิบัติ ซึ่งแทนที่จะทำให้เกิดความปลอดภัย กลับอาจทำให้มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายการระบาดของโควิด-19 มากขึ้นไปอีก
1) แย้ง “ไม่ใช่ผึ้งแตกรัง”
ล่าสุด นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามแทนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ กรณีการปิดแคมป์คนงานทำให้มีแรงงานส่วนหนึ่งหนีกลับจังหวัดทำให้คนในพื้นที่ต่างจังหวัดเกิดความกลัวเรื่องการกระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ว่า เรื่องนี้ได้รับคำชี้แจงจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเบื้องต้นจากที่ได้มีการประชุมกับสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยได้รับการยืนยันว่าการที่มีประกาศปิดแคมป์คนงานแล้วมีกระแสข่าวคนงานออกจากพื้นที่กลับภูมิลำเนานั้น ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยยืนยันว่า เป็นจำนวนน้อยเท่านั้นที่เดินทางกลับภูมิลำเนา เนื่องจากขณะนั้น อาจจะยังไม่ทราบถึงมาตรการที่รัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือ บางแคมป์มีคนงาน 800-900 คน ก็ยอมรับว่า มีคนงานกลับภูมิลำเนาจริงแต่มีจำนวนเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น ดังนั้นการใช้คำว่า ผึ้งแตกรัง อาจจะไม่ใช่อย่างนั้นทั้งหมด
นอกจากนี้ เมื่อกระทรวงแรงงานมีมาตรการเยียวยาต่างๆ แล้ว จะมีการเข้าไปควบคุมดูแลร่วมกับฝ่ายความมั่นคงเข้าไปดูแลเรื่องอาหารการกิน ความเป็นอยู่ และการตรวจเช็คชื่อและจ่ายเงินสดทุกๆ 5 วัน ให้กับแรงงานและแคมป์คนงานด้วย
ส่วนที่เกี่ยวกับพื้นที่ต่างจังหวัด ได้มีการประสานกระทรวงมหาดไทย และคนในพื้นที่จังหวัดนั้นๆ ให้พิจารณาให้ความสำคัญกับผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง ดังนั้น การเดินทางกลับจะมีการพิจารณาโดยกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงมหาดไทยที่ดูแลในพื้นที่อยู่ โดยที่ผ่านมาจะมีแต่ละจังหวัดประกาศให้ผู้ที่เดินทางมาจาก 10 จังหวัดเสี่ยงกักตัว และรายงานตัวกับผู้นำชุมชน หรือ อสม. แต่อย่างไรก็ตาม จนถึง ณ วันนี้ เราได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากภาคเอกชนที่ควบคุมแคมป์คนงานไม่ให้เดินทางกลับภูมิลำเนา หรือออกจากแคมป์
2) ทำไมประกาศในราชกิจจาฯ ตอนตี 1
ด้าน พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.)เล่าย้อนหลังว่า
“สำหรับข้อกำหนดก่อนที่จะประกาศออกไป เราประชุมกันในวันที่ 25 มิถุนายน จนถึงช่วงเย็น วันที่ 26 มิถุนายน ก็ยังมาประชุมกันต่อ จากนั้นร่างคำสั่งเสร็จ
เสนอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงนามในเวลา 21.00 น. ก่อนประกาศลงราชกิจจานุเบกษาในเวลา 01.00 น. ของวันที่ 27 มิถุนายน 2564 นี่คือสาเหตุที่ว่า ทำไมคำสั่งถึงประกาศกลางคืน”
พล.อ.ณัฐพล กล่าวอีกว่า แสดงให้เห็นว่าเราทำงานตลอดเวลา เพื่อให้คำสั่งออกเร็วที่สุด ในแง่ของความเร็ว ความช้า ศบค. ถูกตำหนิ เช่น ร้านอาหาร ก็ต้องขออภัยที่ออกคำสั่งช้าทำให้เตรียมตัวไม่ทัน ส่วนเรื่องแรงงานก็ถูกต่อว่าว่าบอกเร็วไป ทำให้เขาหนีไปก่อน จึงต้องมองให้หลายมุมยืนยันว่า ศบค. พยายามหาจังหวะที่เหมาะสม และการออกคำสั่งต้องทำอย่างรอบคอบ ขอให้สื่อดูว่า ข้อกำหนดฉบับดังกล่าว มีรายละเอียดรัดกุม นั่นคือผ่านการหารือจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กทม. และสำนักการโยธาธิการและผังเมือง ดังนั้น เราจะรีบไม่ได้ หรือช้าเกินไปก็ไม่ทันการ ขอให้เข้าใจตรงนี้และช่วยทำความเข้าใจต่อไปด้วย
3) ทำให้แม่นยำและเป็นมืออาชีพกว่านี้ได้
มาวิเคราะห์กันครับว่า หากจะแก้ปัญหาให้ตรงจุด ออกมาตรการได้อย่างแม่นยำ และสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพและเป็น “มืออาชีพ” รัฐควรทำอย่างไร
ประการแรก ปัญหาทั้งหมดเกิดจากภาวะ “วิกฤติในระบบสาธารณสุข” คือ ผู้ป่วยเริ่มมีมากกว่าเตียง ทำให้โรงพยาบาล บุคลากร และเครื่องมือ “ไม่พอ” ต่อการรับมือกับผู้ป่วย จึงแจ้งเตือนมายังระดับบริหารว่า “วิกฤติแล้วนะ”
วิกฤตินี้ เกิดจากหลายปัจจัย อาทิ ประชาชนจำนวนหนึ่งไม่มีวินัยไม่มีการปฏิบัติแบบนิวนอร์มอล คือ ไม่สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ไม่เว้นระยะห่าง ไม่ล้างมือ ใช้ภาชนะ เช่น แก้วน้ำ กระติกน้ำ จานชาม ฯลฯ ร่วมกัน, เกิดจากรัฐไม่ออกมาตรการควบคุมที่เคร่งครัด หรือมีมาตรการแต่ไม่มีการกวดขันให้ปฏิบัติ บวกกับพฤติกรรมของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่แพร่กระจายได้ไว ติดต่อกันง่าย และจู่โจมทำลายสุขภาพได้แรงและเร็ว
สิ่งที่เป็นปัญหาต้นทาง ที่ต้องการการแก้ไข คือ เร่งลดจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยรายใหม่ ก่อนที่ระบบโรงพยาบาลจะ “รับไม่ไหว” และต้องเลือกว่าใครจะอยู่ ใครจะไป (ซึ่งจริงๆ เกิดขึ้นแล้ว)
คำถามคือ เราปล่อยให้มันล่วงเลยมาถึงภาวะ “ตึงมือ” จนถึงขั้น “ล้นมือ” ได้อย่างไร?
ระดับที่มีหน้าที่บริหารและควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หรือมีการอำพรางข้อเท็จจริง ประมาท ชะล่าใจ หรือจู่ๆ ก็มีการติดเชื้อมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นแบบทันทีทันใด?
4) สัญญาณ “ตึงมือ” และ “ล้นมือ” มีมาตลอด
เราจะเห็นการเปิดเผยของแพทย์ ของอาสาสมัครประสานงานหาเตียง และผู้ติดเชื้อจำนวนไม่น้อย บอกกล่าวถึงภาวะไม่มีที่ตรวจ ไม่มีรถรับ-ส่ง ไม่มีสถานพยาบาลรองรับผู้ป่วย ไม่มีเครื่องมือพอ (โดยเฉพาะเครื่องมือให้ออกซิเจน) และไอซียูเต็ม มาเป็นระยะๆ หากมี “มืออาชีพ” ที่มี“สัญชาตญาณ” แม่นยำ ความตื่นตัวในการออกแบบมาตรการขึ้นมาจัดการ คงไม่เนิ่นช้า
5) วิกฤติที่ต้องแก้ กับความย่ำแย่ของการปฏิบัติ
พอ กทม. วิกฤติจนไม่อาจ “ห้ามการเป็นข่าว” ว่ามีคนไข้ “ตกค้าง” อยู่ในที่พักอาศัย และเสียงเรียกร้องให้ “ปิดกรุงเทพฯ” อึกทึกครึกโครมจนเกินต้านทาน ถึงได้มีการประชุมประเมินสถานการณ์ และออกมาในรูป “ปิดคลัสเตอร์เสี่ยง” ซึ่งพุ่งเป้าไปที่ “แคมป์คนงานก่อสร้าง” บนเงื่อนไข “ป้องกันการติดเชื้อเพิ่ม” ที่จะไปซ้ำเติมระบบสาธารณสุขที่ไม่อาจรับได้อีกแล้ว!!
หากทำงานแบบมืออาชีพ ทำงานบน “ฐานข้อมูล” คณะทำงานพึงให้ผู้ว่าฯกทม. และผู้เกี่ยวข้อง สำรวจจำนวนแคมป์ก่อสร้างแบบด่วนที่สุดจากทั้ง 50 เขต พร้อมชื่อผู้รับผิดชอบ/ประสานงาน ก่อนจะสั่งตรึงคนงานไว้โดยยังไม่ต้อง “เกริ่น” แบบนี้นายกฯ กับคณะแพทย์ และรัฐมนตรีมา “ออกแขก” จนคนด่า ว่าดูระรื่น จะมานะจ๊งนะจ๊ะอะไรในเวลาที่คนเขาทุกข์ อย่างที่เป็นอยู่ เพราะมาตรการที่เลือกจะทำนั้น ไม่ได้บังคับกับ “คนส่วนใหญ่” แต่บังคับกับ “กลุ่มเฉพาะ” จึงควรกำกับสถานการณ์ให้ “อยู่หมัด” ก่อน เหมือนตอนเตรียมการ “รัฐประหาร” ไง โคตรแม่นยำว่าต้องทำอะไร 1-2-3-4
หากทำงานบนฐานข้อมูลที่แม่นยำแบบนี้ แจ้งไปยังผู้ควบคุมแคมป์ให้ปิด กัก และสื่อสารกับคนงานให้เข้าใจตรงกัน ถึงมาตรการกักตัวในแคมป์ มีอาหารส่ง มีเงินชดเชยเยียวยา ปรากฏการณ์ “ผึ้งแตกรัง” คงไม่มีออกมา หลังการ “ออกแขก” หรือหากจะอนุญาตให้เดินทางกลับภูมิลำเนา ก็ต้องจัดการอย่างเป็นระบบและมีเงื่อนไขชนิดรู้แน่ว่า ใคร ออกจากแคมป์ไหน และจะไปที่ไหน เพื่อให้ปลายทางพร้อมรับมือและกำกับการกักตัวในต่างจังหวัดตามระเบียบที่มีอยู่
6) ปิดร้านอาหารกะทันหัน
ส่วนมาตรการปิดการนั่งรับประทานในร้าน อีตอน “ออกแขก” ก็ไม่สื่อสารให้มันชัด พูดแค่ว่า อาจจะมีการ “คันทรี่โรด เทคมีโฮม” แล้วก็มาจู่โจมเอาตอนตี 1 แบบ “คำสั่งบังคับ” จึงได้เกิดปัญหาขึ้นว่า ไม่ให้เวลาเขาจัดการ “วัตถุดิบค้างสต๊อก” บวกกับยังไม่มีคลัสเตอร์ร้านอาหารที่รุนแรงเหมือนแคมป์คนงานมาก่อน การจะมีมาตรการกำหนด จึงควรให้เวลาเตรียมการ ไม่ใช่ปุบปับจนต้องมาตามแก้เป็น “ลิงแก้แห”
ทั้งหมดจึงสะท้อนความไม่แม่นยำและไม่เป็นมืออาชีพ ทั้งการทอดเวลาให้วิกฤติในระบบสาธารณสุขเกิดขึ้น ความล่าช้าในยุทธศาสตร์วัคซีนซึ่งเป็นอาวุธหลักและอาวุธหนักที่ต้องมีต้องใช้ การเกริ่นนำแบบ “ออกแขกก่อน” แล้วค่อยมี “แผนปฏิบัติการ” ประกาศตาม เหมือนอยู่ๆ ก็ประกาศปักหมุดจะเปิดประเทศใน 120 วัน ที่ควรจะมาพร้อมกับแผนยุทธศาสตร์ด้านการส่งเสริมการฉีดวัคซีน เพื่อความปลอดภัย อันเป็นปัจจัยชี้ขาดว่าจะเปิดได้หรือไม่ได้ พร้อมๆ กับประกาศแผนส่งเสริมการฟื้นตัวของเอสเอ็มอี ผู้ประกอบการด้านโรงแรม การท่องเที่ยว ยานพาหนะ ร้านรวงต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องภายใน 60-90 วัน เพื่อพร้อมเปิดประเทศ แผนการด้านโลจิสติกส์เพื่อส่งเสริมการเปิดประเทศอย่างปลอดภัย แผนการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ (ด้วยความปลอดภัย) ฯลฯ พูดง่ายๆ ว่า “เน็กซ์ นอร์มอล” ต้องชัด ต้องเคลียร์ ไม่ใช่แค่ “ขายฝัน” แต่ไม่มีแอ๊กชั่น แพลน!!
7) สงครามที่แสนสับสนและมืดมน
เราอยู่ในสงครามสำคัญ ที่ทุกคนล้วนเป็นสมาชิกในกองทัพ นายกรัฐมนตรีไม่ต้องเป็นอัศวินขี่ม้าขาวไปตามลำพัง แล้วบอกให้ทุกคนเชื่อมั่น เชื่อใจ แต่ต้องกำหนดยุทธศาสตร์การรบ แล้วแจกหน้าที่ไปยังทุกคนในประเทศ เพื่อกรำศึกไปด้วยกัน ทั้งหมดนั้น จะทำได้ ต้องเริ่มจาก “แผนการรบ” ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา มันสะเปะสะปะ รบแบบแก้ปัญหาไปวันๆ
คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นเป้าหมายปลายทาง พอนายกฯประกาศ 120 วัน แสงสว่างมันวาบขึ้นอย่างมีความหวัง เป็นการเดินทางที่เริ่มมี “ทัศนวิสัย” ให้เห็นไกลเกินกว่า“วันต่อวัน” หรือ “อยู่ไปวันๆ” ซึ่งดีกว่าที่ผ่านๆ มา เพียงแต่ว่า มันเป็นแค่การประกาศที่ขาด “แผนการรบ”
เหมือนแม่ทัพฟุ้งไป แต่ไม่มียุทธศาสตร์และการกระจายงาน กระจายหน้าที่ เตรียมทัพให้พร้อมลุย จะจัดทัพรูปครุฑ รูปปีกกา พญานาค อะไร ก็สั่งไม่ได้ กองร้อย กองพัน ทหารราบอันได้แก่ประชาชนทั้งหลายก็ได้แต่ยืนงง ว่าถ้ากูจะร่วมรบด้วยจะเริ่มจากอะไร ในเมื่อแผนการรบของแม่ทัพใหญ่มันยัง “เวิ้งว้างและเปล่ากลวง”
เลิกทำงานแบบลิงแก้แห
ทำงานอย่างมียุทธศาสตร์ ประกาศและมีแอ๊กชั่นแพลนที่ลงมือได้พร้อมกันทันทีเถอะครับ
อย่ามัวแต่ทำตัวเป็น “คนดี” ขอทำงานกับหมอๆ กับข้าราชการ ไม่อยากยุ่งกับนักการเมือง แบบที่ทำมาตลอดอยู่เลย มันไม่ช่วยให้นายกฯ ดูดีเลยครับ เพราะประสิทธิภาพมันห่วย
เป็นทหารมาทั้งชีวิต ถึงเวลา “นำทัพ” แบบแม่ทัพมืออาชีพ และใช้งานทหารทุกคนในประเทศแล้วครับ
ว่าแต่ จะรบแบบไหน จะตีเมืองไหน จะตีอย่างไร ได้คิดไว้บ้างหรือเปล่า?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี