เมื่อครั้งที่เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ได้ทำให้เกิดโรคระบาดที่เราเรียกกันว่าโรคโควิด-19 ในระลอกแรกนั้น การระบาดดูเหมือนจะมีความรุนแรง มากพอสมควร โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศแถบยุโรป
เราคงได้ยินข่าวคราวจากคนไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษว่าได้ป่วยเป็นโรคโควิด-19 และไม่ได้รับโอกาสที่จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งทำให้คนเหล่านั้นหลายคน ต้องป่วยหนักและบางรายเสียชีวิตอยู่กับบ้าน ซึ่งความรู้สึกในขณะนั้นของพวกเราชาวไทยหลายคนเห็นว่าเป็นเรื่องน่าเสียใจที่ประเทศเหล่านั้นไม่ได้ดูแลรักษาผู้ป่วยและให้โอกาสเข้ารับการรักษาตามที่ควรจะเป็น เหตุผลสำคัญก็คือมีผู้ป่วยที่เป็นโควิด-19 ล้นโรงพยาบาล และคนที่จะได้รับโอกาสรักษาในโรงพยาบาลคือผู้ป่วยที่มีอาการหนักเท่านั้น
ผมเชื่อว่าไม่มีคนไทยคนไหนในช่วงนั้น ได้คิดว่าเหตุการณ์ดังกล่าว จะมีโอกาสเกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งคนไทยเราอยู่อาศัยกันอย่างมีความสุข ด้วยความรัก สามัคคีและเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ตลอดจนระบบสาธารณสุขของประเทศไทยก็ครอบคลุมไปถึงประชาชนเกือบจะ
ร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้แต่คนต่างด้าวซึ่งมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยก็ยังได้รับการดูแลตามสมควร
สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในระลอกแรกของประเทศไทยได้รับการควบคุมให้อยู่ในวงจำกัดและดูเหมือนว่าจะได้ผลดี จนได้รับคำชมจากต่างประเทศ จนกระทั่งเกิดการระบาดขึ้นเป็นระลอกที่ 2 ซึ่งก็ยังดูเหมือนว่า รัฐบาลจะยังสามารถจัดการควบคุมการระบาดได้ แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะในที่สุดประเทศไทยก็เข้าสู่การระบาดระลอกที่ 3 ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีความรุนแรงจนทำให้ยอดผู้เจ็บป่วยทั้งหมดขึ้นไปเกินกว่า 270,000 รายแล้ว และมี
ผู้เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 2,200 ราย
ตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละวันขณะนี้ ขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 6,000 ราย ซึ่งไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน มีผู้เสียชีวิตในบางวันเกินกว่า 60 ราย และในพื้นที่กรุงเทพฯยังมีผู้ติดเชื้อรายใหม่วันละเกินกว่า 2,000 ราย ซึ่งเชื่อว่าหากมีการตรวจค้นเชิงรุกมากกว่านี้ ตัวเลขที่ปรากฏอยู่นั้นก็ไม่น่าจะเป็นตัวเลขจริง ลักษณะจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ เริ่มเป็นลักษณะแบบทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณอันตรายอย่างยิ่ง
สภาพความเป็นจริงขณะนี้คือ การขาดแคลนเตียงในโรงพยาบาลได้เกิดขึ้นแล้ว โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และ
ปริมณฑล อัตราการหายป่วยในแต่ละวันเมื่อเทียบกับผู้ป่วยรายใหม่เป็นตัวเลขติดลบแตะระดับ 3,000 ราย ซึ่งหมายความว่าเราจะต้องมีเตียงรองรับเพิ่มเติมให้ผู้ป่วยวันละ 3,000 ราย เป็นอย่างน้อยถึงแม้จะมีการระดมสร้างโรงพยาบาลสนาม ในหลายพื้นที่ แต่ขณะนี้ก็ถือว่าไม่พอเพียงแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาลโดยเฉพาะหอผู้ป่วยหนักซึ่งล้นอยู่ตลอดเวลา ผู้ป่วยที่จะเข้าไปนอนได้ใหม่ต้องรอให้ผู้ที่ป่วยหนักที่ครองเตียงอยู่เดิมเสียชีวิตลงเสียก่อนจึงจะเข้าไปนอนแทนได้
การขาดแคลนเตียงทำให้ผู้ป่วยที่ตรวจพบว่ามีเชื้อ ไม่สามารถจะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ ถึงแม้ว่าจะมีการเปิดฮอสพิเทล เพื่อรับผู้ป่วยที่ไม่มีอาการเข้าพักรักษา แต่ในขณะนี้ผู้ป่วยในฮอสพิเทลส่วนหนึ่ง เป็นผู้ป่วยที่หลังเข้าพักแล้วมีอาการเกิดขึ้น ก็ไม่สามารถจะรับกลับมารักษาในโรงพยาบาลได้
ที่ต้องถือว่าเป็นสภาพเลวร้ายมาก คือการที่ผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างรอเตียงเพื่อเข้ารับการรักษานั้นไม่มีเตียงที่จะให้เข้ารับการรักษาได้ แม้จะมีทั้งหน่วยงานของรัฐและเอกชนพยายามที่จะประสานหาเตียงให้เข้าพักรักษาได้ก็ตาม จึงมีข่าวออกมาเป็นระยะๆแล้วว่า มีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งถูกทอดทิ้ง จนต้องเสียชีวิตอยู่ภายในบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความตื่นตระหนกและเสียขวัญของผู้ที่ยังไม่เจ็บไข้ได้ป่วยและประชาชนทั่วไปอย่างมากมาย
โรงพยาบาลหลายแห่งที่เคยรับตรวจเพื่อหาเชื้อให้กับผู้ที่เสี่ยง ต้องประกาศปิดตัวไปหลายที่แม้แต่โรงพยาบาลระดับมหาวิทยาลัย หรือศูนย์การแพทย์ รวมทั้งโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ๆหลายแห่งด้วย เนื่องจากไม่อาจจะรองรับผู้ป่วยที่มาตรวจและพบว่าติดเชื้อได้อีกต่อไป
เรื่องเหล่านี้เป็นผลให้เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา สํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ออกมาประกาศเปิดโครงการให้ผู้ที่ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ พักรักษาตัวที่บ้านของตนเอง โดยทางภาครัฐจะจัดให้ผู้ป่วยบันทึกอาการของตนเอง ด้วยการมอบเครื่องวัดอุณหภูมิร่างกาย เครื่องวัดระดับออกซิเจนในเลือด ตลอดจนมอบอาหารอีก 3 มื้อ โดยจัดสรรงบประมาณผ่านโรงพยาบาลที่รับผิดชอบ ในการดูแลติดตามอาการของผู้ป่วย รวมทั้งอาจจะใช้วีดีโอคอลเพื่อสังเกตติดตามอาการ และสื่อสารซึ่งกันและกันด้วยหากปรากฏว่ามีอาการลุกลามมากขึ้น จะได้รับการพิจารณารับกลับเข้ามารักษาในโรงพยาบาล ซึ่งยังอาจจะมีปัญหาว่าจะมีเตียงว่างในโรงพยาบาลแห่งใดที่จะรองรับผู้ป่วยเหล่านั้นได้ทันที
จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีความชัดเจน ว่า ศบค.และกระทรวงสาธารณสุขจะสามารถจัดการเรื่องเตียงในโรงพยาบาลได้อย่างไร เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยเหล่านี้ถูกทอดทิ้ง ซึ่งทำให้เริ่มมีเสียงพูดจากหลายส่วนออกมา ว่ารัฐบาลต้องเพิ่มความรับผิดชอบในการดูแลประชาชน เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการจัดการกับโรคโควิด-19
เราคงไม่สามารถจะย้อนกลับไปกล่าวถึงการประเมินสถานการณ์ที่ผ่านมาของ ศบค.ว่าไม่ดีเพียงพอได้ ซึ่งหากได้มีการประเมินการที่ดี และมีการระดมฉีดวัคซีนให้มากที่สุดตั้งแต่เริ่มการระบาดในระลอกแรก ซึ่งหากทำได้เช่นนั้น ร่วมกับการมีมาตรการที่ดีในการเฝ้าระวังสถานที่เสี่ยงและควบคุมกำกับการเคลื่อนย้ายของประชาชนที่ดี สถานการณ์การระบาดอย่างที่เป็นอยู่อย่างเช่นในขณะนี้ น่าจะไม่เกิดขึ้น
เป้า 120 วันของวาระแห่งชาติในการระดมฉีดวัคซีน ให้ครอบคลุม 70% ของประชากรทั้งประเทศ เพื่อจะได้เปิดประเทศไทยอีกครั้งหนึ่งนั้น อาจจะไม่บรรลุเป้าหมาย เพราะถึงขณะนี้ผ่านมาร่วมหนึ่งเดือนแล้ว การระดมฉีดวัคซีนที่ตั้งเป้าว่า จะต้องทำให้ได้วันละ ประมาณ 400,000 โดสนั้น ไม่ประสบความสำเร็จมาหลายวันแล้ว เนื่องจากจำนวนวัคซีนที่มีอยู่ไม่พอเพียงที่จะทำให้การดำเนินการดังกล่าวเกิดขึ้นได้จริง ถึงแม้ว่าผู้บริหารของภาครัฐ จะออกมายืนยันว่าจำนวนวัคซีนที่มีอยู่และกำลังจัดหาเพิ่มเติมเข้ามาเป็นระยะอย่างต่อเนื่องจะมีมากเพียงพอก็ตาม
ประชากรในกรุงเทพฯจำนวนไม่น้อย กำลังรอรับการฉีดวัคซีนอย่างมีความหวัง ทั้งในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 โรค และกลุ่มประชาชนทั่วไป เช่นเดียวกับในต่างจังหวัด เพราะแม้แต่จังหวัดใหญ่ๆหลายแห่งในขณะนี้ วัคซีนก็ยังเดินทางไปไม่ถึงเช่นกัน ทำให้ต้องมีการประกาศเลื่อนฉีดให้กับผู้ที่จองเข้ามาผ่านระบบต่างๆ ที่มีอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่เป็นการแจ้งเลื่อนครั้งที่ 1 แต่เป็นการแจ้งเลื่อนครั้งที่ 2 หรือ 3 ก็มีแล้วเช่นกัน
การประกาศเปิดแซนด์บ็อกซ์ที่จังหวัดภูเก็ตของรัฐบาล ที่กล่าวกันว่าประชากรที่นั่นประมาณเกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว และน่าจะเป็นจังหวัดที่มีมาตรการที่ปลอดภัย ที่จะเปิดให้การท่องเที่ยวกลับขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่งทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศและชาวไทยเอง ซึ่งรัฐบาลบอกว่าหากประสบความสำเร็จจะขยายไปในพื้นที่อื่น เช่น สมุย พะงัน เป็นต้น เป็นสิ่งที่ต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิด เพราะหากการระบาดในส่วนของกรุงเทพมหานครและอีก 9 จังหวัด ซึ่งยังเป็นพื้นที่สีแดงเข้มยังเกิดขึ้น โดยที่ไม่สามารถจะควบคุมได้ชัดเจนนั้น ในที่สุดอาจจะเกิดผลกระทบกลับมาที่รุนแรงมากกว่าเดิมด้วย
ถึงแม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่น่าจะยังมีความหวังกับการดูแลช่วยเหลือของรัฐบาลในครั้งนี้ แต่ก็คงมีจำนวนไม่น้อย
ซึ่งมองว่าความหวังเหล่านั้นเป็นเรื่องริบหรี่ โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรซึ่งได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจติดตามมาอย่างรุนแรงด้วย การวางแผนของรัฐบาลโดย ศบค. ซึ่งมีท่านนายกฯเป็นประธานและมีอำนาจเบ็ดเสร็จนั้น จะต้องระดมสรรพกำลังจากทุกภาคส่วนเข้ามาเสริมและทำให้เกิดความชัดเจน ซึ่งสามารถสื่อสารออกไปให้กับประชาชนทั้งประเทศได้รับทราบด้วย อย่าให้สิ่งที่เป็นอยู่ขณะนี้ยังคงเคลือบแคลงและหลายๆ เรื่องอธิบายไม่ได้
คนทุกคนต่างก็มีความรักชีวิตของตัวเอง หากผู้ที่ต้องรับผิดชอบในบางส่วนของเขาเหล่านั้นในฐานะที่เขาเป็นประชาชน ไม่สามารถจะเป็นที่พึ่งได้อีกต่อไป คนเหล่านั้นก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต เพื่อให้ชีวิตของตัวเองรอด ซึ่งแต่ละคนก็จะแสดงปฏิกิริยาและการกระทำต่างๆ ออกมา หากเป็นจากคนคนเดียวก็อาจจะไม่เป็นปัญหามากนัก แต่ถ้าคนส่วนใหญ่ของประเทศแสดงปฏิกิริยาออกมาเมื่อไหร่ สิ่งนั้นย่อมกระทบต่อความมั่นคงของรัฐบาล อย่างแน่นอน
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี