สถานการณ์การแพร่ระบาดในพื้นที่ กทม. มีแนวโน้มที่จะหนักขึ้นอีก หลังการแพร่ระบาดของเชื้อสายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) เริ่มเป็นสายพันธุ์หลักในการแพร่ระบาดในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล โดยมีอัตราส่วนจากผู้ติดเชื้อในพื้นที่ถึง 40% และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น โดยหากยอดผู้ติดเชื้อยังพุ่งสูงขึ้นแบบในปัจจุบันคือแตะระดับ 5-6 พัน ต่อวันเช่นนี้ ก็อาจมีโอกาสที่ ศบค. จะประกาศมาตรการที่เข้มมากขึ้น แต่จับตาสัญญาณรัฐบาลแล้วก็ยังไม่ถึงกับประกาศเคอร์ฟิวในช่วงเวลานี้ เนื่องจากจะมีผลกระทบเป็นวงกว้าง อย่างไรก็ตามยอดผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ความกังวลของประชาชนกำลังเปลี่ยนเป็นกระแสความไม่พอใจในรัฐบาลต่อการจัดการปัญหา ทำให้บางฝ่ายอาจคิดว่าได้เวลาเขย่าเก้าอี้พลเอกประยุทธ์ ที่ครองตำแหน่งมากกว่า 7 ปีแล้ว
แต่ใครจะประเมินเกมถูก เกมผิด เดี๋ยวมาดูกัน?
นายกรัฐมนตรีเองก็กำลังโดนถล่มหนัก จากรอบด้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก คุณทักษิณ ที่กลับมาเดินเกมรุกแต่เดินแบบงงๆ อยู่ตอนนี้ในขณะที่พรรคการเมืองต่างๆ ทั้งซีกฝ่ายค้านก็เก็งหวยเตรียมเลือกตั้งกันแล้ว แต่พอเจอท่าทีนายกฯและรัฐบาลตอนนี้ ที่เดาทางไม่ได้ แม้แต่พรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลเองบางพรรคก็ยังซวนเซไปต่อไปไม่ถูก เพราะการจัดการกลไกอำนาจทุกอย่าง ยังอยู่ที่นายกรัฐมนตรีแบบไม่มีสะดุด ใครบอกทหารไม่เก่งการเมือง คงต้องคิดใหม่
เริ่มที่มาตรการควบคุมการดำเนินการโควิดต่างๆ ที่อยู่ในมือ ศบค.และ สมช. นั้น เอาเข้าจริงก็คืออยู่ในมือนายกรัฐมนตรี พบว่าพักหลังมีเหตุหลายครั้งที่การตัดสินใจขัดแย้งกับทั้งกระทรวงสาธารณสุข หรือขัดแย้งกับกทม. หรือบางทีก็ขัดแย้งกับตัวเอง อันเป็นผลจากการประสานงานที่ผิดพลาดและปัญหาของการสื่อสาร แต่สุดท้ายจะพบการตัดสินใจแบบกลับลำเกิดขึ้นได้เสมอจาก ศบค. ดูเหมือนจะโดนด่าแต่กลายเป็นมีเรื่องใหม่ให้ฝ่ายตรงข้ามต้องวิ่งตามใหม่ อันที่จริงปัญหาการจัดการโควิดนี้มีทั่วโลกตามแต่สถานการณ์แต่ละที่ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลแต่ละประเทศจะจัดการปัญหาที่งอกเงยใหม่ๆ ทุกวันได้เร็วแค่ไหน
แต่ที่หลายคนกังวลและยังคงโจมตีรัฐบาลได้ต่อเนื่อง คือเรื่อง ยี่ห้อวัคซีนและการจัดการวัคซีนที่จริงๆ ปัญหาหลักของรัฐบาลน่าจะอยู่ที่ความล่าช้าในการกระจายวัคซีนซึ่งมีอยู่จริง ขณะที่การได้รับวัคซีนล่าช้าจากบริษัทผู้ผลิต การผิดนัดของผู้ขายวัคซีน ตลอดจนความนิยมในยี่ห้อต่างๆ นั้นเป็นปัญหาที่พบกับทุกประเทศทั่วโลกที่ไม่ใช่เจ้าของวัคซีนในขณะการเลือกวัคซีนนั้นที่มีการวิพากษ์โจมตีรัฐบาลต่อความกังวลว่าวัคซีนที่มีอยู่นั้นป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ได้มากน้อยแค่ไหน? ซึ่งจากการวิจัยแล้วก็พบว่า AstraZeneca ยังมีประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อกลายพันธุ์ได้แม้จะมีประสิทธิภาพที่ลดลงซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนก็ยอมรับได้ แต่ที่ถูกโจมตีอย่างรุนแรงคือ ประสิทธิภาพของวัคซีน Sinovac ที่ตอนนี้ยังมีการนำเข้าอย่างต่อเนื่อง
โดย Sinovac เองแม้จะได้รับสองเข็มแล้วก็ตาม ถูกโจมตีว่ายังไม่มีงานวิจัยที่สามารถยืนยันประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อกลายพันธุ์ แล้วทำไมจึงยังนำมาใช้เป็นวัคซีนหลักของประเทศอีก เรื่องนี้ถือเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลที่ไม่สามารถทำความเข้าใจให้ประชาชนเข้าใจได้ เพราะหากย้อนเวลาไปการตัดสินใจนำเข้าสองยี่ห้อนี้ก็เพราะเหตุผลของการมองระยะยาวไว้อยู่แล้วว่าจะมีการแย่งวัคซีนหากเราไม่มีโรงงานที่เป็นฐานการผลิตของตนเองก็ยากที่จะต่อรองวัคซีนแม้จะเป็นประเทศผู้ซื้อได้
ขณะที่รัฐบาลที่ตัดสินใจแบบนั้นและสนใจวัคซีนตัวหลักเป็น AstraZeneca จากทาง Oxford ว่ามีประสิทธิภาพ และการทดลองที่ค่อนข้างถี่ถ้วน ปลอดภัยในระดับที่ไว้ใจได้แต่เรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือกระบวนการผลิตไม่สามารถผลิตเพื่อแจกจ่ายวัคซีนดังกล่าวได้ทันกับความต้องการ
รวมถึงวันส่งมอบให้กับประเทศไทยก็เลื่อนออกไปซึ่งเรื่องนี้ในหลายประเทศก็ประสบปัญหาในการผิดเวลานัดของวัคซีนยี่ห้ออื่นๆ ซึ่งหากรัฐบาลชี้แจงข่าวให้ประชาชนเข้าใจได้ก็น่าจะดีขึ้น แต่การที่รัฐบาลตัดสินใจมองหาวัคซีนฉุกเฉินเพื่อเร่งสร้างภูมิคุ้มกันจึงเป็นที่มาของการนำเข้า Sinovac เพื่อเร่งสร้างภูมิให้กับด่านหน้าอย่างบุคลากรทางการแพทย์ เหตุผลที่เป็น Sinovac อีกประการคือเป็นวัคซีนเชื้อตายที่ผลข้างเคียงต่ำ และที่สำคัญคือการมีสต๊อกที่พร้อมส่งมอบได้เลยไม่ต้องเข้าคิว เช่นเดียวกับที่ตอนนี้สั่งมาเพิ่มอีกเพราะสามารถนำเข้ามาได้ทันที ต่างกับที่หลายฝ่ายสนับสนุนให้เข้าร่วมโครงการ Covax ที่อาจจะทำให้เราได้วัคซีนเร็วหรือช้าก็ไม่มีอะไรมารองรับหรือเป็นหลักประกันได้เลย
อีกประการหนึ่ง ที่เป็นปัญหาการสื่อสารของรัฐบาลคือ ขาดการทำความเข้าใจกับประชาชน ว่าวัคซีนที่รัฐบาลไม่ได้เลือกซื้อในตอนแรกเพราะอะไร แต่ละอย่างอาจมีผลข้างเคียงที่หนักกว่าอย่างไร หรือกระบวนการเจรจามีปัญหาอะไร เช่นเดียวกับตอนนี้ที่พอเชื้ออินเดียระบาดไปถึงสหรัฐฯ จึงได้รู้ว่าวัคซีนที่หลายคนใฝ่ฝันก็ติดเชื้อเดลต้าได้เช่นกัน
ทั้งหมดคือปัญหาการสื่อสารที่รัฐบาลต้องแก้ไข แต่ขณะที่เป็นเช่นนี้ รัฐบาลก็ตัดสินใจนโยบายแบบยอมกลับลำตัวเองด้วยการนำเข้าไฟเซอร์ ทำจนฝ่ายตรงข้ามงง ต้องไปหาทางโจมตีมุมใหม่ๆ แทน โดยล่าสุดมติครม.เมื่ออังคารที่ผ่านมามีมติเห็นชอบจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์ 20 ล้านโดส พร้อมกับการอนุมัติการเยียวยาสำหรับผู้ประกันตนและนายจ้างที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่เดือนกรกฎาคม กับกิจการ 4 ประเภทคือ การก่อสร้าง,กิจการที่พักแรม, บริการด้านอาหารและกิจการศิลปะความบันเทิงนันทนาการและการบริการด้านอื่นๆ
ซึ่งก็ถือว่าผิดคาดหลายคนที่คิดว่ารัฐบาลทหารจะแข็งทื่อเลือกอะไรแล้วก็ต้องแบบนั้น ไม่คาดคิดจะเห็นภาพกลับลำยอมโดนด่า บวกกับเดินมาตรการของจริงที่ช่วยเหลือประชาชนกลุ่มต่างๆ ตามที่โดนโจมตี ยอมเดินตามหลังคำทักท้วง แต่เป็นคนลงไปช่วยประชาชนจริงๆ จึงเหลือคู่ขัดแย้งเฉพาะที่อยู่ในโซเชียลเป็นหลัก แยกประชาชนที่ได้รับผลกระทบออกมาจากการให้มาตรการเยียวยาทีละกลุ่ม
อย่างไรก็ตาม งานนี้ก็ยังถือว่า ท้าทายรัฐบาลมาก ทั้งสองขาที่ต้องเดินตามปัญหาและแก้ให้ทันคือ (1)แก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นรายวันจากสถานการณ์โควิด (2)เร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนให้ได้ครอบคลุมมากที่สุด ก่อนจะครบ120วันเปิดประเทศตามที่นายกรัฐมนตรีประกาศ เพราะหากนายกรัฐมนตรีทำสำเร็จจนเปิดประเทศแบบควบคุมโควิดได้จริง ก็จะกลับมาครองใจคนได้อีกครั้ง ซึ่งการตัดสินใจของนายกฯด้วยการตั้งเป้า 120 วัน เพื่อเป็นตัวบีบเร่งรัดให้ประเทศต้องเดินหน้านี้ เป็นการบริหารสถานการณ์แบบองค์รวม บนความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและการควบคุมโรค จึงพอจะเดาได้ว่า ไม่น่าจะได้เห็นการล็อกดาวน์ทั้งประเทศ หรือการปิดประเทศแบบ 100% ตามที่คนในรัฐบาลหลายฝ่ายเรียกร้อง
มิติความขัดแย้งทางการเมืองในพรรคร่วมฯจากเรื่องการจัดการโควิด หรือการตีรวนจากพรรคร่วมในเรื่องแก้รัฐธรรมนูญนั้น มองเผินๆ เหมือน พรรคร่วมจะแตก แต่เอาเข้าจริง หลายฝ่ายก็มองออกถึงการอนุมัติโครงการสำคัญด้านการคมนาคมที่ยังไม่สำเร็จ ยังไม่จบสิ้น ก็อาจมีคนตั้งคำถามว่าจะเป็นไปได้หรือที่ใครจะเดินออกจากรัฐบาลในตอนนี้ เช่นเดียวกับการเปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ และข่าวการก่อตั้งอีกสองพรรคใหม่ที่เป็นการแตกยอดจากรัฐบาล อย่างการเปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรคมาเป็นร.อ.ธรรมนัส ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากมาย มาวันนี้ก็พอจะเห็นผลบางอย่างแล้ว จากท่าทีของพรรคฝ่ายค้านบางพรรคเองหรือแม้กระทั่งท่าทีคุณทักษิณเอง
ท่ามกลางกระแสถล่มรัฐบาลที่พุ่งเป้ามาที่นายกรัฐมนตรีคนเดียวตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่มาวันนี้นายกรัฐมนตรีต้องกักตัว 14 วัน จากการพบปะผู้ติดเชื้อตามที่ปรากฏในข่าวนายกฯยังคงนั่งทำงานและประชุมครม.เช่นเดิมต่างกันตรงที่ไม่สามารถออกมาให้ข่าวประชาชนได้อีกสองสัปดาห์
ทั้งหมดนี้อาจเป็นเรื่องบังเอิญแต่ผลอาจไม่บังเอิญและดูจะไม่ใช่ผู้อ่อนด้อยทางการเมืองอย่างที่คนวิพากษ์วิจารณ์
“จะมีชีวิตอยู่โดยทรงคุณค่าเป็นที่ลำบากก็จริง จะตายให้มีคุณค่ายิ่งยากเข็ญกว่ามากนัก”
โกวเล้ง มังกรเมรัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี