กระแสสังคมเรื่องของการด้อยค่า หรือต่อต้าน การฉีดวัคซีนที่จัดหาโดยรัฐบาลให้กับประชาชนทุกภาคส่วนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายนั้น ดูเหมือนจะรุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะจากสื่อทั่วไปและสื่อออนไลน์ต่างๆ จนอาจจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดกับประชาชนส่วนใหญ่ ที่ไม่ได้ติดตามข่าวและวิเคราะห์ข่าวเหล่านั้น โดยขาดองค์ความรู้ที่เพียงพอได้
เรื่องนี้อาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อจำนวนของผู้ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนที่จัดให้โดยภาครัฐ ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการไปได้ดีในระดับหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะยังไม่เป็นไปตามเป้าที่รัฐต้องการ และอาจจะทำให้เป้าหมาย 120 วันในโครงการวาระวัคซีนแห่งชาติ ที่จะฉีดวัคซีนให้ประชากร ได้ถึง 50 ล้านคนหรือ 70 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ นั้นไม่เป็นไปตามเป้า
การจะทำให้โครงการดังกล่าว บรรลุเป้าหมายได้ มีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ 3 ประการด้วยกันคือ
จำนวนวัคซีนที่มีความเพียงพอ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญที่สุด เรื่องที่สองคือการกระจายวัคซีน เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มประชากรเป้าหมายตามลำดับความสำคัญ และเรื่องสุดท้ายคือความเชื่อมั่นของประชากร ในการที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนโดยภาครัฐ
ในส่วนของการจัดหาวัคซีน ซึ่งรัฐบาลยืนยันมาโดยตลอด ว่าจะจัดหาให้ได้ครบอย่างน้อย 100 ล้านโดสภายในสิ้นปีนี้ และต่อเนื่องไปถึงต้นปีหน้าให้ได้เป็นจำนวน 150 ล้านโดส เริ่มมีข้อสงสัยว่าจะเป็นไปได้ตามนั้นจริงหรือไม่อย่างไร เพราะโดยสภาพความเป็นจริงขณะนี้การระดมฉีดวัคซีนมีตัวเลขแต่ละวันอยู่ที่ประมาณ 250,000 โดสเท่านั้นซึ่งห่างจากเป้าที่จะต้องทำให้ได้วันละประมาณ 400,000 โดส ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากจำนวนวัคซีนที่มีอยู่นั้นไม่เพียงพอ สิ่งที่รัฐบอกมาโดยตลอดว่า วัคซีนมีพอนั้น อาจจะเป็นเพียงแค่ตัวเลขก็เป็นได้
ในส่วนของวัคซีนแอสตราเซเนกา ซึ่งจะใช้เป็นวัคซีนหลักของประเทศ ตัวเลขการส่งมอบให้ภาครัฐ 6 ล้านโดส ในเดือนมิถุนายน เป็นไปตามที่ได้ตกลงไว้ แต่จำนวนวัคซีนที่จะส่งมอบเพิ่มเติมในแต่ละเดือนอีกอย่างน้อย 4-5 เดือน เดือนละ 10 ล้านโดสนั้น เริ่มมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลอาจจะไม่ได้รับมอบครบถ้วนตามที่ตกลงกันไว้ เนื่องจากบริษัทแอสตราเซเนกา ต้องส่งมอบวัคซีนให้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ที่มีการสั่งซื้อด้วยเช่นกัน
จึงมีข่าวจากการแถลงของที่ประชุม ศบค. เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วว่า รัฐบาลจะสั่งซื้อวัคซีนซิโนแวคเพิ่มเติมจากประเทศจีนอีกเป็นจำนวน 10.9 ล้านโดส และได้ทำสัญญาที่จะสั่งซื้อวัคซีนจากบริษัทไฟเซอร์ของสหรัฐอเมริกาเพิ่มเติมอีก 20 ล้านโดส ซึ่งคาดว่าจะส่งได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ไม่นับรวมวัคซีนที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะมอบให้ประเทศไทยอีกเป็นจำนวน 1.5 ล้านโดส โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ฉีดให้กับบุคลากรด้านการแพทย์
ในส่วนของการกระจายวัคซีนไปในที่ต่างๆ ทั่วประเทศนั้น จะมีการเปลี่ยนเป้ากลุ่มประชากร ที่ได้รับการฉีด โดยจะเน้นให้กับผู้สูงอายุเกินกว่า 60 ปี และผู้ที่มีโรคเรื้อรัง 7 โรคเป็นหลักก่อน โดยมีประชากรในกลุ่มนี้ประมาณ 17 ล้านราย ขณะนี้ได้รับการฉีดไปแล้วเกือบ 3 ล้านรายเท่านั้น โดยเหตุที่เน้นการฉีดในกลุ่มนี้เนื่องจากข้อมูล ณ ขณะนี้บ่งชี้ว่า ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้ที่สูงอายุและ/หรือผู้มีโรคเรื้อรัง จึงจำเป็นที่ต้องให้ประชากรกลุ่มนี้ได้รับวัคซีนก่อนกลุ่มอื่น หลังจากนั้นจึงจะทยอยฉีดให้กับกลุ่มประชาชนทั่วไป
ประเด็นสุดท้าย คือ ความเชื่อมั่นของประชากรต่อวัคซีนที่จะได้รับการฉีดวัคซีน ซึ่งได้กล่าวไว้ในเบื้องต้นแล้วว่า เริ่มมีกระแสไม่ยอมรับวัคซีนที่รัฐจัดสรรให้มากขึ้นเรื่อยๆ มีการนำเสนอข้อมูลทางสื่อเป็นจำนวนมากว่าวัคซีนที่รัฐจัดให้นั้นไม่ดีพอ ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบแล้วยังติดโรคเป็นจำนวนมาก และหลายรายมีอาการป่วยที่มีอาการมากพอสมควรซึ่งเป็นการด้อยค่าวัคซีนที่รัฐจัดให้อยู่ ทั้งนี้หากเทียบกับจำนวนผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 13 ล้านราย จะเป็นสัดส่วนที่น้อยเหลือเกินก็ตาม
ขณะนี้มีประชาชนจำนวนมากที่เข้าใจว่า เมื่อฉีดวัคซีนครบแล้วจะไม่มีโอกาสป่วยจากโรคนี้อีกเลยแม้จะได้รับเชื้อ และยังกล่าวว่าวัคซีนที่ผลิตโดยกระบวนการอื่น เช่น mRNA ถ้าฉีดครบแล้วจะไม่เป็นโรค ซึ่งก็ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะการฉีดวัคซีนนั้นไม่ว่าจะเป็นวัคซีนตัวใด ยังมีโอกาสเป็นโรคได้เสมอหากได้รับเชื้อเข้าไป เพียงแต่อาการที่เกิดขึ้นนั้นจะไม่รุนแรงและโอกาสเสียชีวิตจะต่ำมากๆ โดยประสิทธิภาพของวัคซีนแต่ละตัวที่มีใช้อยู่ในขณะนี้นั้น ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
กระแสการด้อยค่าของวัคซีนที่รัฐจัดหามานั้นมากขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะวัคซีนซิโนแวคจากประเทศจีน โดยในเบื้องต้นนั้นมีการพูดกันว่า สร้างภูมิคุ้มกันได้ไม่ดีนัก ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีบทสรุปชัดเจน ว่าวัคซีนโควิดนั้นจะต้องสร้างภูมิคุ้มกันได้มากขนาดไหน จึงจะพอเพียงต่อการที่จะต่อสู้กับโรคร้ายได้ ทั้งๆ ที่ในประเทศจีน ประชากรจำนวนมากกว่า 1,200 ล้านคน จากประชากรทั้งหมดประมาณ 1,400 ล้านคน ได้รับการฉีดวัคซีนตัวนี้เป็นหลัก ร่วมกับวัคซีนอีกตัวหนึ่งคือ ซิโนฟาร์ม
วัคซีนซิโนแวคและวัคซีนซิโนฟาร์ม ใช้กระบวนการผลิตแบบเดียวกัน และเป็นวัคซีนที่น่าจะปลอดภัยที่สุด เพราะเป็นการผลิตจากเชื้อตาย ซึ่งวัคซีนซิโนฟาร์มนี้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ได้สั่งเข้ามาจำนวน1 ล้านโดสในเบื้องต้น เพื่อเป็นวัคซีนตัวเลือก และให้องค์กรและบริษัทต่างๆ จัดซื้อต่อเพื่อนำไปฉีดให้กับพนักงาน โดยผู้จัดซื้อนั้นต้องบริจาคจำนวน 10 เปอร์เซ็นต์คืนให้กับราชวิทยาลัยฯ เพื่อนำไปใช้ฉีดให้กับผู้พิการและผู้ด้อยโอกาสทั้งหลาย ซึ่งถือว่าเป็นการร่วมกันทำบุญและนับเป็นเรื่องที่ดี และขณะนี้ได้อยู่ในระหว่างการทยอยฉีดให้กับผู้ที่สั่งซื้อทั้งหมด ซึ่งน่าจะฉีดครบถ้วนภายในเดือนนี้ได้ ซึ่งวัคซีนทั้งสองตัวนี้ก็เป็นวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอนามัยโลกให้ใช้ได้ในภาวะฉุกเฉินเช่นเดียวกับวัคซีนตัวอื่นที่มีอยู่ในขณะนี้ และก็มีข้อมูลทางวิชาการที่ชัดเจนว่า ป้องกันการเสียชีวิตได้เกือบ 100%
การด้อยค่าเริ่มรุนแรงมากขึ้น เมื่อเกิดการกลายพันธุ์ของเชื้อ COVID-19 มีสายพันธุ์เดลต้าจากอินเดียในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในกรุงเทพฯซึ่งพบเชื้อนี้มากกว่า 50% ของผู้ที่ติดเชื้อ ได้มีการพูดกันว่าวัคซีนซิโนแวคไม่สามารถป้องกันเชื้อกลายพันธุ์เดลต้าได้เลยซึ่งไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมด บางส่วนก็กล่าวว่าภูมิคุ้มกันหลังจากฉีดวัคซีนซิโนแวคนั้นจะมีระดับลดลงอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ 3-4 เดือนหลังฉีดก็มีระดับต่ำจนอาจจะไม่สามารถป้องกันโรคได้อีกต่อไป ซึ่งก็ไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมดเช่นกัน เพราะระดับภูมิคุ้มกันในแต่ละบุคคลที่ได้รับวัคซีนตัวเดียวกันนั้นจะสูงขึ้นไม่เท่ากัน ผลการป้องกันโรคจึงอาจแตกต่างกันบ้าง
สำหรับวัคซีนแอสตราเซเนกานั้น การถูกทำให้ด้อยค่าไม่มากเท่ากับซิโนแวค สิ่งที่เคยพูดกันว่าอาจจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงเช่นเส้นเลือดสมองตีบตันและอื่นๆนั้น ก็ผ่อนคลายไปมากแล้วหลังจากที่พบว่าภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวเกิดขึ้นน้อยมาก เมื่อเทียบกับความคุ้มค่าจากการได้รับวัคซีน และยังพบว่าวัคซีนตัวนี้ หากได้รับการฉีดครบ 2 โดส แล้ว จะมีผลในการป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ได้อยู่ในระดับดีทีเดียว
ข่าวการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวคเพิ่มเติมของรัฐบาลอีก 10.9 ล้านโดส ซึ่งสามารถจะจัดส่งได้เร็วกว่าวัคซีนอื่นๆ นั้น ทำให้สื่อจำนวนหนึ่งออกมาให้ข่าวในลักษณะตีวัวกระทบคราด แต่กระทรวงสาธารณสุขก็ได้ชี้แจงเหตุผลแล้วว่า จากการติดตามการใช้วัคซีนซิโนแวค จำนวนมากในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งใช้ไปมากกว่า 10 ล้านโดสพบว่า ป้องกันการเข้าโรงพยาบาลได้ถึง 96 เปอร์เซ็นต์ ป้องกันการเสียชีวิตได้มากกว่า 98% ส่วนในประเทศบราซิล ซึ่งมีการใช้จำนวนมากเช่นเดียวกันพบว่า ป้องกันการเข้าโรงพยาบาลได้86 เปอร์เซ็นต์ ป้องกันการเสียชีวิตได้มากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ ส่วนในประเทศไทย ที่มีการใช้มากในจังหวัดภูเก็ตพบว่าป้องกันการเจ็บป่วยหลังการติดเชื้อได้มากถึง 90.7 เปอร์เซ็นต์
การที่รัฐตัดสินใจ สั่งซื้อวัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 20 ล้านโดส ซึ่งน่าจะเข้ามาได้ในต้นไตรมาสที่ 4 นั้น เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าเกิดจากกระแสกดดันจากสื่อต่างๆ หรือกลุ่มต่างๆ ที่กล่าวว่าประเทศไทย ยังไม่มีวัคซีนที่ดีให้กับประชาชนหรือไม่ ตลอดจนการที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาบริจาควัคซีนจำนวน 1.5 ล้านโดส ของไฟเซอร์โดยมีการนำเสนอว่าให้ใช้กับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์นั้นซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยง แม้จะเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็เป็นเรื่องที่แตกต่างจากแนวทางทั่วไป
เพราะหากเปรียบเทียบกับการบริจาควัคซีนทั้งหลายที่กระทำในโครงการโคแวกซ์นั้น จะมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ใช้กับประชากรในประเทศยากจนโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่จะเข้าถึงวัคซีนได้ยาก หรือแค่แสดงให้เห็นว่า เมื่อจีนบริจาควัคซีนให้กับไทยได้ สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นคู่แข่งที่สำคัญของจีน ก็บริจาควัคซีนให้ไทยได้เช่นกัน หรืออาจจะเป็นกลไกในการเปิดตลาดการค้าวัคซีนซึ่งจะสร้างรายได้อย่างมหาศาลให้เติบโตมากขึ้นหรือไม่ ก็เป็นเรื่องน่าคิด
กระทรวงสาธารณสุขต้องเตรียมการบริหารจัดการวัคซีนของไฟเซอร์ในส่วนที่จะจัดซื้อมาให้ดี ว่าจะให้ประชากรกลุ่มไหนได้มีโอกาสได้ฉีดวัคซีนตัวนี้บ้าง ประชาชนทั่วไปหรือชาวบ้านทั้งหลายจะมีโอกาสได้รับวัคซีนซึ่งพูดกันว่าดีกว่าตัวอื่นบ้างหรือไม่ หรือว่าจะเป็นเฉพาะกลุ่มบุคคลที่คิดว่าตัวเองต้องได้รับสิทธิพิเศษและสำคัญกว่าประชาชนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือใครก็ตามที่จะมีโอกาสได้รับวัคซีนส่วนนี้มากกว่า ซึ่งจะกลายเป็นประเด็นปัญหาที่รัฐบาลกำลังสร้างให้กับตัวเอง
รัฐบาลต้องเพิ่มกลไกในการสร้างคุณค่าใหักับวัคซีคที่ให้กับประชาชนอยู่ในขณะนี้ และอย่าให้การจัดหาวัคซีนทางเลือกเพิ่มเติมเพื่อมาใช้กับประชาชน โดยประชาชนไม่ต้องรับภาระค่าใช้จ่าย กลายเป็นชนวนที่นำไปสู่ความขัดแย้งและสร้างความบาดหมางระหว่างประชาชนกลุ่มต่างๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบกลับมายังรัฐบาล ในยามที่ประเทศชาติของเราต้องการความสามัคคีของคนในชาติเป็นอย่างยิ่ง
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี