เรื่องเล่าของป๋าเปรม ฉบับวันนี้ ผมได้นำเอาเนื้อหา จาก “หนังสือรัฐบุรุษคู่แผ่นดิน” ซึ่งนาวาตรีประสงค์ สุ่นศิริ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้สรุปและรวบรวมไว้ น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง และเชื่อว่าคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้รัฐบาลของพลเอกเปรม ประสบความสำเร็จ ในการบริหารประเทศ ตลอดระยะเวลา 8 ปี กับ 5 เดือน เป็นเพราะการวางรากฐาน ในการบริหารประเทศตั้งแต่ปีแรก ที่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และสามารถปฏิบัติได้ ตามที่ได้วางแผนไว้ คำปราศรัยของพลเอกเปรม เมื่อค่ำวันที่ 14 มีนาคม 2523 หลังจากนำคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดแรก เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งได้ปราศรัยต่อประชาชนทั่วไปทางสถานีวิทยุกระจายเสียง
และโทรทัศน์ มีความตอนหนึ่งว่า
“พี่น้องประชาชน คงจะหนักดีเหมือนกับผมว่า สภาพการณ์ทางเศรษฐกิจการเมืองและสังคมที่เราทุกคนได้เผชิญมา และกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้มาจากหลายด้าน และประดังเข้ามาพร้อมๆกันปัญหาบางอย่างที่สำคัญ ก็เป็นปัญหาที่เรื้อรังมานานจนพอกพูนทับถมและทำให้การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่ๆ เป็นไปได้โดยยากในเรื่องนี้ผมให้เรียนขอร้องว่าเราจะต้องร่วมมือกันโดยถือว่าปัญหาของชาติเรานั้นมิใช่เป็นปัญหาของรัฐบาลหรือของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดโดยเฉพาะ หากเป็นปัญหาของพวกเราทุกคนที่จะต้องช่วยกันคิดช่วยกันแก้จึงจะสามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาและขจัดปัดเป่าไปได้ในที่สุด”
“ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ถ้ากล่าวโดยละเอียดก็จะใช้เวลานานผมอยากจะสรุปเพียงสั้นๆว่าปัญหาหลักของชาติที่จะต้องคิดแก้ไขอย่างจริงจังและรีบด่วนคือปัญหาความยากจน ความขาดแคลนแร้นแค้นของพี่น้องประชาชนชาวไทย ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ถ้าเราทุกฝ่ายต่างยอมรับในปัญหาความยากจนและความขาดแคลนนี้แล้วนโยบายของรัฐบาลแนวทางมาตรการตลอดจนการปฏิบัติงานของข้าราชการและการดำเนินชีวิตของพี่น้องทุกคนก็ควรจะมุ่งไปสู่การแก้ปัญหานี้ให้เป็นพลังร่วมกันถ้าเป็นเช่นนั้นได้ผมเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้ด้วยดี”
คำปราศรัยครั้งแรกของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ต่อประชาชนเมื่อเริ่มขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบต่อบ้านเมืองและต่อคนไทยทั้งประเทศดังกล่าวนี้นับเป็นสัจจะวาจาที่ประกาศให้เห็นความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ของชาติที่หมักหมมเรื้อรังมานานโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาความยากจนให้บรรเทาเบาบางลงให้ได้เป็นคำประกาศเจตนาที่ค่อนข้างท้าทายเป็นอย่างยิ่งเพราะในช่วงเวลาที่พลเอกเปรม ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นประเทศไทยกำลังประสบกับปัญหาเศรษฐกิจที่รุนแรงมากอันสืบเนื่องมาจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ในขณะนั้น เราก็จะได้เข้ามามากขึ้น เรามีหนี้สินต่างประเทศ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในประเทศเอง ก็มีค่าใช้จ่ายเกินตัวทำอย่างไรจะแก้ไขปัญหาด้านการเงินระหว่างประเทศให้มีเสถียรภาพ ทำอย่างไรจะให้ฐานะทางเศรษฐกิจภายในประเทศมีความเจริญเติบโตขึ้น ไม่ลดต่ำลงไปกว่าเดิม และทำอย่างไรจะแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ นี่คือโจทย์ชื่อพลเอกเปรมจะต้องทำข้อสอบเพื่อหาคำตอบออกมา ให้ได้ในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดิน
กลไกสำคัญ ที่เป็นเครื่องมือของนายกรัฐมนตรี ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจดังกล่าวนี้นอกจากจะมีหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องแล้วกลไกใหม่ที่พลเอกเปรมได้สร้างขึ้นใหม่ เพื่อนำมาใช้เพิ่มเติมอีกในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของชาติก็คือ การจัดตั้งคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจขึ้นมาอีกคณะหนึ่งเพื่อดำเนินการด้านเศรษฐกิจเป็นการเฉพาะซึ่งแต่ก่อนไม่เคยมีมาเลย
นอกจากนี้ได้จัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐบาลและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจขึ้นมาด้วยอีกคณะหนึ่ง เพราะเห็นว่า ภาคเอกชน เป็นผู้ที่มีบทบาทต่อการบริหารทางเศรษฐกิจของประเทศมาโดยตลอดจึงควร ที่จะได้ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด กับภาครัฐบาลในการแก้ไข ด้านเศรษฐกิจ ของประเทศ ให้ดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อสามารถ ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ร่วมกันอย่างได้ผลดีที่สุด
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาความยากจน ของคนส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งอยู่ในชนบทและเป็นวัตถุประสงค์ สำคัญที่อยู่ในใจของพลเอกเปรม มาโดยตลอด ก็ได้มีการจัดตั้งกลไกใหม่ขึ้นมา เพื่อการนี้โดยเฉพาะคือคณะกรรมการพัฒนาชนบทแห่งชาติ (กชช.) และคณะกรรมการสร้างงานในชนบท (กสช.) ด้วย
คณะกรรมการทุกคณะที่จัดตั้งขึ้นใหม่นี้ พลเอกเปรม เป็นประธานด้วยตนเองทุกคณะ เพื่อสามารถดูแล และช่วยเหลือ สนับสนุน การดำเนินงานให้บรรลุผลได้เร็วและง่ายขึ้น
โดยที่เรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมาก ทำให้คณะกรรมการคณะนี้ประกอบด้วยรัฐมนตรีเกือบทุกคน มีเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นเลขานุการคณะทำงาน สามารถกำหนดแนวทางและช่วยคณะรัฐมนตรีตัดสินใจในปัญหาเศรษฐกิจสำคัญสำคัญหลายอย่างจนทำให้ ประเทศผ่านพ้นวิกฤตการณ์ที่รุนแรงทางเศรษฐกิจมาได้ และกำลังก้าวออกไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ
ในขณะที่บทบาทของคณะกรรมการร่วมภาครัฐบาลและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ(กรอ.) ก็มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ทำให้รัฐบาลสามารถรับทราบปัญหาและตัดสินใจสั่งการ แก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วช่วยให้การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น กรอ. ถือเป็นก้าวใหม่และก้าวใหญ่ครั้งสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อพลเอกเปรมขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ในการเดินทางไปราชการการเยือนประเทศต่างๆ ของพลเอกเปรม นายกรัฐมนตรีได้ชักชวนภาคเอกชนใน กรอ. ให้ร่วมเดินทางไปด้วยทุกครั้ง รวมทั้งกำหนด ให้เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศต่างๆ ทำงานด้านเศรษฐกิจควบคู่กับงานด้านการเมือง และให้สถานทูตเป็นแกนประสานงานด้านเศรษฐกิจของส่วนราชการอื่นๆ ด้วย ทำให้การบริหารงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลดำเนินไปอย่างได้ผลดีและมีความสำคัญต่อการประกอบการธุรกิจ ของภาคเอกชนเป็นอย่างมาก กว่าที่เคยเป็นมาในอดีต การนำภาคเอกชน ไปในคณะของนายกรัฐมนตรี ในการเยือนประเทศต่างๆ เพื่อผลทางการเมืองระหว่างประเทศ และการเศรษฐกิจ ได้สร้างความมั่นใจ และความสนใจ ต่อประเทศต่างๆ เป็นอย่างมาก ทำให้ธุรกิจค้าขายการลงทุนและการท่องเที่ยวขยายตัวออกอย่างกว้างขวางมาเท่าทุกวันนี้
ครับ!!!ในส่วนของคณะกรรมการชุดอื่นๆก็สร้างผลงานไว้มากมายโดยเฉพาะการพัฒนาชนบทผมจะนำมาเล่าในตอนต่อไป แฟนคลับแนวหน้า“เรื่องเล่าของป๋าเปรม” ที่สนใจจะศึกษาเพิ่มเติมลองสอบถาม ดร.สุเมต สุวรรณพรหม ผู้ดำเนินรายการ เรื่องเล่าของป๋าเปรม ทางวิทยุ FM90.5 โทรศัพท์และไอดีไลน์ 08-1110-3939 ขอให้ทุกท่านโชคดีปลอดภัย จากโควิด-19 นะครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี