คาร์ม็อบเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2564 เป็นปรากฏการณ์การต่อต้านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อให้ลาออกจากตำแหน่งที่แตกต่างจากอดีตแล้ว มีลักษณะพิเศษที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ
ดังนั้นถ้าใช้วิธีมองเดิมๆ วิธีคิดเดิมๆ และวิธีรับมือแบบเดิมๆ นอกจากจะแก้ไขปัญหาใดๆ ไม่ได้แล้ว จะเป็นเงื่อนไขสำคัญให้แก่พัฒนาการของสถานการณ์ไปจนถึงจุดที่อาจจะรั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่
เมื่อถึงเวลานั้นอาจจะไม่หยุดอยู่แค่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พ้นไปจากตำแหน่ง แต่อาจจะเลยเถิดเลยธงไปถึงไหนต่อไหน ที่สำคัญอาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ก็ได้ เพราะเรื่องแบบนี้ประมาทไม่ได้ เหตุการณ์แต่หนหลังอันมีมาในประวัติศาสตร์ในหลายที่หลายแห่งก็มีมาให้ศึกษาอยู่แล้ว
ม็อบ 18 กรกฎาคม 2564 เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลยกระดับมาตรการในการควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดเข้มขึ้นครั้งสำคัญ แน่นอนว่าด้านหนึ่งย่อมมุ่งประสงค์ต่อการที่จะรับมือกับการแพร่ระบาดของโคบ้า ซึ่งกำลังทำให้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทะลุวันละ 10,000 คน และมีคนตายทะลุวันละ 100 คน เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างรุนแรงที่สุด
เพราะในท่ามกลางความสับสนของการแก้ไขปัญหาในทุกเรื่อง ผู้คนกลับป่วยเพิ่มมากขึ้นและเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น โดยไม่มีทีท่าว่าจะมีมาตรการอะไรในการแก้ไขปัญหาให้เด็ดขาด คงใช้แต่วิธีการเดิมๆ คือพูดถึงเรื่องวัคซีนและการออกมาตรการเข้ม ซึ่ง 18 เดือนที่ผ่านมาเวลาก็มากพอและมีการปรับมาตรการเข้มขึ้นไม่รู้สักกี่เข้มแล้ว แต่ปรากฏว่าไม่เพียงสถานการณ์ไม่ดีขึ้นกลับทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว
ทำให้ความเชื่อมั่นต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตกต่ำถึงขีดสุด เหลือเพียงระดับ 12% เศษเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นประเทศอื่นก็ต้องมีการทบทวนพิจารณาแล้วว่าจะทำอย่างไร คือจะปรับปรุงแก้ไขอย่างไร ที่ให้เกิดผลเปลี่ยนแปลงจากเดิม หรือไม่ก็คือการลาออก
แต่นี่กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ มีแต่คำประกาศจะต่อสู้จนกว่าจะได้ชัยชนะ โดยที่ไม่รู้ว่าต่อสู้กับใคร และชนะแบบไหน
แต่ในที่สุดความจริงก็ปรากฏชัดว่ามาตรการคุมเข้มในส่วนที่อาจมีความมุ่งหวังที่จะสกัดไม่ให้เกิดการชุมนุมนั้นไม่ได้ผล ซึ่งสะท้อนว่าผู้ที่เข้าร่วมการชุมนุมไม่ ยอมรับอำนาจรัฐ และไม่ยำเกรงมาตรการทั้งหลาย แม้ว่าจะต้องเสี่ยงต่อการติดคุกหรือบาดเจ็บหรือเสียชีวิตก็ตาม
การที่คนเรามีความฮึกห้าวเหิมหาญไม่กลัวคุกไม่กลัวตะราง ไม่กลัวเจ็บไม่กลัวตายนั้นไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นง่ายๆ และไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ จึงเป็นเรื่องที่ประมาทและมองข้ามไม่ได้
การชุมนุมวันที่ 18 กรกฎาคม 2564 เป็นการชุมนุมแบบใหม่ ซึ่งมีการทดสอบมาก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่งแล้ว นั่นคือการชุมนุมที่เรียกว่าคาร์ม็อบ แต่แท้จริงไม่ใช่คาร์ม็อบอย่างเดียว แต่มีมอเตอร์ไซค์ม็อบเข้าร่วมจำนวนมากด้วย
สิ่งที่เรียกว่ามอเตอร์ไซค์ม็อบนั้นเคยก่อตัวขึ้นในช่วงที่มีการจัดตั้งพรรคความหวังใหม่ เพื่อเตรียมการต่อสู้กับรัฐบาล รสช. ของพลเอกสุจินดา คราประยูร โดยวางแนวความคิดว่าจะมีการจัดตั้งมอเตอร์ไซค์ขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัดในลักษณะหน่วยทหาร คือมีลักษณะหมู่ หมวด กองร้อย กองพัน และกองพล ทำหน้าที่เป็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษเคลื่อนที่เร็วในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
เพื่อปฏิบัติการในทางการเมืองคือเพื่อโฆษณาแนวทางนโยบายของพรรคกับผู้โดยสาร ในการช่วยเหลืออุบัติภัย เช่น ไฟไหม้ และในการป้องกันหรือสกัดโจรกรรมต่างๆ แต่ในขณะเดียวกันถ้าหากมีการชุมนุมเกิดขึ้นกองร้อยกองพัน หรือกองพลมอเตอร์ไซค์ซึ่งจะเป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วในเมืองนั้นก็จะมีบทบาทอย่างสำคัญ ทั้งในการเป็นกองหน้า กองหลัง หรือกองระวังป้องกันประชาชน
และที่สำคัญ จะมีความคล่องตัวในการเคลื่อนไหวไปปิดกั้นหรือปิดล้อมหรือไล่จับผู้ที่เป็นเป้าหมาย
แต่น่าเสียดายพรรคความหวังใหม่ทำไปได้เพียงครึ่งทางก็ได้ยกเลิกโครงการนั้นเสีย ทางหนึ่งก็เพราะมีผู้เห็นว่าแนวทางรณรงค์หาเสียงแบบโบราณจะได้ผลเร็วกว่า แต่อีกด้านหนึ่งก็มีการทักท้วงจากบุคคลสำคัญของพรรคที่เคยงานด้านความมั่นคงว่าการจัดตั้งลักษณะนี้ถ้าควบคุมได้ก็ดีไป แต่ถ้าหากควบคุมไม่ได้ก็จะมีอันตรายมหันต์เกิดขึ้น ทำให้เกิดความเสี่ยงแก่พรรค
เรื่องของมอเตอร์ไซค์ม็อบเงียบหายไปตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ แต่บัดนี้มาปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่งในชื่อของคาร์ม็อบ ที่ประกอบด้วยม็อบรถยนต์และม็อบมอเตอร์ไซค์ ซึ่งการใช้มอเตอร์ไซค์ในการร่วมขบวนนั้นก็เคยมีประปรายมาก่อนแล้ว โดยทำหน้าที่เป็นกองหน้าให้แก่การเคลื่อนตัวของผู้ชุมนุม และการสื่อสารแบบเดินสายในขณะเคลื่อนม็อบ
ก็ต้องยอมรับว่า บก.ลายจุด เป็นเจ้าของความคิดคาร์ม็อบในครานี้ แม้ว่า บก.ลายจุด จะเป็นพลเรือนและดูเหมือนคุ้มดีคุ้มร้าย แต่แท้จริงแล้วคนผู้นี้มีสติปัญญามาก มีความพลิกแพลงมาก จนมีผู้เปรียบเทียบว่าไม่ต่างกับลกซุน แม่ทัพเมืองกังตั๋ง ผู้ทำศึกเอาชนะพระเจ้าเล่าปี่จนกระทั่งพระเจ้าเล่าปี่ตรอมใจตาย
คาร์ม็อบในวันที่ 18 กรกฎาคม 2564 ในกรุงเทพมหานครมีจำนวนมากขึ้นกว่าครั้งก่อนมาก มีประชาชนเข้าร่วมชุมนุมรวมแล้วราว 12,000 คน ลักษณะเคลื่อนตัวเป็นขบวนประหนึ่งว่ามีการซักซ้อมการจัดตั้ง คือการชุมนุมพล การเคลื่อนพล ทั้งรุกทั้งรับมาเป็นอย่างดี ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะปัจจุบันนี้สามารถแนะแนวทางกลยุทธ์และยุทธวิธีโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้
หน่วยงานด้านความมั่นคงก็คงทราบข่าวเรื่องนี้ระแคะระคายอยู่บ้างจึงไม่ได้ตั้งอยู่ในความประมาท มิได้รับมือในระยะประชิดเหมือนกับการรับมือกับม็อบในอดีต แต่ตั้งขบวนรับมือในเชิงยาว เพื่อให้ทันท่วงทีต่อการเคลื่อนตัวของมอเตอร์ไซค์ม็อบและใช้ทั้งกระสุนยาง แก๊สน้ำตา และรถฉีดน้ำความดันสูงประสานพร้อมกันซึ่งนับว่าเป็นวิธีการปราบม็อบที่ใช้ความรุนแรงมากที่สุดโดยมิต้องอาศัยขั้นตอนจากเบาไปหนักอันเป็นวิธีการสากล
การเคลื่อนม็อบ 18 กรกฎาคม 2564 และการรับมือกับม็อบ 18 กรกฎาคม 2564 มีผู้บาดเจ็บจำนวนไม่น้อย แต่ผลที่แท้จริงก็คือทั้งฝ่ายม็อบและฝ่ายเจ้าหน้าที่ต่างก็เรียนรู้บทเรียนและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่เหมือนกับการเคลื่อนม็อบในอดีตอีกแล้ว
แต่จะเป็นม็อบแบบใหม่ ลองนึกดูเถิดถ้ามีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นระดับมอเตอร์ไซค์ 10,000 คัน และมีรถยนต์เข้าร่วมสัก 10,000 คัน อะไรจะเกิดขึ้น บุคคลสำคัญที่จะถูกปิดล้อมมีแต่จะต้องหนีโดยทางอากาศสถานเดียวเท่านั้น
การเคลื่อนคาร์ม็อบครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งที่สอง ยังมิได้แสดงอานุภาพของคาร์ม็อบให้ปรากฏ เพราะยังมีลักษณะแข็งทื่อ จึงไร้อานุภาพอย่างแท้จริง
เมื่อใดก็ตามที่การเคลื่อนตัวของม็อบสามารถยึดกุมลักษณะธาตุน้ำได้แล้ว ก็อาจทำให้การเคลื่อนม็อบนั้นไหลไปได้ทุกทิศทุกทางไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้ เพราะเมื่อใดก็ตามที่ม็อบเคลื่อนไหลไปดุจดั่งน้ำก็จะไม่มีสิ่งใดกีดขวางน้ำไว้ได้ เพราะน้ำจะไหลไปในที่ที่ไหลไปได้โดยไม่มีทางที่จะปิดกั้นได้หมดทุกทิศทาง
นอกจากนั้นการเคลื่อนม็อบ 18 กรกฎาคม 2564 นี้มิได้เกิดขึ้นเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานครเท่านั้น แต่เกิดขึ้นในพื้นที่ต่างจังหวัดด้วย ทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลางรวม 10 จังหวัด
แกนนำม็อบได้แสดงท่าทีตั้งความหวังว่าเมื่อใดก็ตามที่มีคาร์ม็อบเกิดขึ้นในพื้นที่ 77 จังหวัดทั่วประเทศ แม้ไม่ต้องโหมเข้ามาในกรุงเทพฯ พร้อมกัน แต่ก็จะมีอานุภาพในการกดดันจนรัฐบาลยากแก่การรับมือ
อย่าไปหลงใหลว่าจะมีการเคลื่อนไหวคาร์ม็อบครบทั้ง 77 จังหวัด เพราะอาการแบบนี้แค่เกิดคาร์ม็อบขึ้นพร้อมกันสัก 20 จังหวัดเท่านั้นก็จะเกิดแรงกดดันมหาศาล
คนมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องจะเตรียมความคิดเตรียมแผนการเรื่องนี้กันอย่างไร โดยเฉพาะการหยุดยั้งไม่ให้การเคลื่อนไหวเลยทิศเลยธงไปจากรัฐบาล จนไปกระทบสถาบันอื่นๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องในทางการเมืองด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี