จากยอดผู้ติดเชื้อโควิดที่แตะระดับหมื่นมา 5 วัน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ใน กทม. และอีก 15 จังหวัดสีแดงเข้ม จึงตามมาด้วยการประกาศเพิ่มความเข้มข้นการบังคับมาตรการในพื้นที่สีแดงเข้มในส่วนของ กทม. และปริมณฑล กลุ่มจังหวัดภาคกลาง และพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
โดยยกระดับการป้องกันการแพร่ระบาดให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อหยุดวงจรการแพร่กระจายของโรคโควิดโดยเฉพาะสายพันธุ์เดลต้าที่แพร่ระบาดรวดเร็วกว่าสายพันธุ์อัลฟ่า ในขณะที่ประเทศในยุโรปและสหรัฐฯ ก็กำลังจะเจอภาวการณ์กลับมาระบาดอีกครั้งจากการมาของสายพันธุ์เดลต้าเช่นกัน แม้จะฉีดวัคซีนไปมากแล้ว แต่ที่หนักกว่าคือประเทศรอบๆ ข้างเรากำลังเจอสงครามใหม่ไปอีกขั้นแล้วคือ แลมบ์ดาพร้อมไปกับการประท้วงรัฐบาลของประชาชนในหลายประเทศจากเหตุผลเดียวกัน คือ การบริการจัดการโควิดรวมถึงประเทศไทยยังมองไม่เห็นแววว่าเมื่อไรสงครามโควิดนี้จะจบเพราะได้สร้างหายนะให้กับทุกคนทุกอย่าง
ทั้งทางเศรษฐกิจเว้นธุรกิจดิจิทัล ทั้งระบบสาธารณสุขเว้นธุรกิจโรงพยาบาลและผู้ผลิตวัคซีน ทั้งด้านความมั่นคงของประเทศ เว้นมหาอำนาจใหญ่ของโลกที่ใช้โอกาสนี้ขยับตัวบางอย่างทางการทหารแล้วโดยเฉพาะขยับมาที่พื้นที่ทะเลจีนใต้และแน่นอนตลาดยุทโธปกรณ์กำลังกลับมาคึกคักอีกครั้ง ยิ่งสงครามโควิดยืดเยื้อเท่าไรยิ่งมีคนเสียประโยชน์แต่มีบางส่วนก็อาจยิ่งได้ประโยชน์แม้ไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
การระบาดของโควิดสายพันธ์ุดั้งเดิมเมื่อปีที่แล้วต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับการระบาดของสายพันธุ์กลายพันธุ์ และทวีความรุนแรงต่างกันด้วย ตั้งแต่สายพันธุ์อัลฟาเมื่อต้นปีที่ทำให้ยอด
ผู้ติดเชื้อของไทยไปแตะระดับพันต่อวันซึ่งการแพร่ระบาดมาจากการข้ามพรมแดนมาจากประเทศเพื่อนบ้าน มาวันนี้สายพันธุ์ที่กำลังระบาดอย่างหนักคือคือสายพันธุ์เดลต้า ที่คาดว่าเข้ามาจากการลักลอบข้ามพรมแดนเช่นกันและระบาดหนักเป็นทวีคูณสู่ระดับ1หมื่นคนต่อวัน
และตอนนี้เริ่มมีสายพันธุ์ใหม่เข้ามาที่ประเทศมาเลเซียแล้วคือสายพันธุ์แลมบ์ดา ซึ่งมีความรุนแรงและการแพร่กระจายเชื้อที่รวดเร็วมากขึ้นไปอีกที่ตอนนี้ระบาดไปถึง 31 ประเทศแล้ว ประเทศรอบบ้านเราอย่างมาเลเซียและอินโดนีเซียตอนนี้ตัวเลขพุ่งเกินระดับ 1 หมื่นคนต่อวันก่อนหน้าประเทศไทยไปแล้วโดยเมื่อวานมาเลเซียอยู่ที่ 12,366 คน อินโดนีเซียอยู่ที่ 38,325 คนและส่วนมากมาจากสายพันธุ์เดลต้า และไม่ทันจะควบคุมได้สายพันธุ์ใหม่ก็เข้ามาอีกแล้ว
รัฐจะตัดสินใจอย่างไร? ที่อาจจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังจะเข้ามาอีก?
การเดินทางเข้าไทยและช่องทางพรมแดน พร้อมแค่ไหนในการรับมือเพื่อป้องกันสายพันธุ์ใหม่แบบ 100%?
นอกจากนี้จะจัดการกับปัญหาสาธารณสุขภายในการจัดการกับไวรัสโควิดเดลตาที่มีอยู่อย่างไร?
การจัดการวัคซีนจะตัดสินใจอย่างไร? จะปรับแผนใหม่ไหม?
การจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจจะทำอย่างไร? เพราะถ้าให้รออีกแบบปีที่แล้ว มาวันนี้คงไม่มีใครยอมแล้ว?
น่าจะเป็นปัญหาที่รุมเร้า พลเอกประยุทธ์ ตอนนี้อย่างหนักจนเรื่องการเมืองอาจกลายเป็นปัญหารองไปเลย ซึ่งก็ควรเป็นเช่นนั้นเพราะในยามนี้นายกรัฐมนตรีควรพุ่งเป้าไปที่การจัดการปัญหาโควิดก่อน และควรใช้ทรัพยากร และอำนาจทุกอย่างที่มี ระดมและเข้ามาจัดการให้จบโดยไวก่อนแลมบ์ดาจะเข้ามาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
ถึงเวลานี้แล้ว การมองภาพการบริหารแบบแยกระหว่างการควบคุมโรค และการบริหารเศรษฐกิจ ก็ไม่สามารถทำได้แล้ว มากไปกว่านั้นคือเรื่องของการควบคุมโรคในช่วงเวลาวิกฤติ 14 วันนี้ อาจมีความสำคัญมากกว่าทุกเรื่อง
ซึ่งหาก ศบค. ไม่ตัดสินใจใช้ยาแรงในเรื่องมาตรการหลังจากนี้ ตัวเลขอาจพุ่งไปถึงผู้ติดเชื้อราว 3 หมื่นคนต่อวัน และอาจเสียชีวิตในหลักพัน คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น การออกมาตรการหลังจากนี้จึงควรจะจริงจังเป็นลำดับขั้น แต่ต้องให้ประชาชนมีชีวิตอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการการควบคุมเวลาออกจากบ้าน การทำงานที่บ้านแบบ 100% การไม่เคลื่อนย้ายคนข้ามจังหวัด ซึ่งถ้าออกมาตรการควบคุมประชาชนขนาดนี้แล้วก็ควรใช้เวลานี้ทำงานเชิงรุกตรวจให้มากที่สุดให้สมกับที่ประชาชนต้องยอมหยุดทุกอย่างเพื่อส่วนรวม
นอกจากนี้ต้องคำนึงถึงปัญหาปากท้องของประชาชนด้วยในช่วง 14 วัน และแนวโน้มที่จะต่ออีก 14 วันด้วย เพราะประชาชนไม่ได้มีอาชีพที่จะมีรายได้แบบประจำทุกคนการให้หยุดอยู่กับบ้านหลายคนถึงกับขาดรายได้ไปเลย ส่วนธุรกิจขนาดเล็กที่แม้ผลกระทบจะไม่ฉุกเฉินเท่าเรื่องปากท้องรายวันแต่รัฐก็ควรเตรียมหามาตรการชดเชยเพื่อฟื้นธุรกิจหลังจากนี้ที่มากกว่ามาตรการที่ประกาศออกมาแล้วเพราะดูท่าแล้วจะมีการระบาดของอีกหลายสายพันธุ์ในอีกหลายระลอก การให้เงินเยียวยาอย่างเดียวอาจไม่ตอบโจทย์สภาวะความเป็นจริงที่ปัญหาจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ธุรกิจขนาดเล็กจึงเป็นกลไกสำคัญอย่างมากของความช้าเร็วในการฟื้นเศรษฐกิจในอนาคต หรือหากรัฐบาลหาวิธีให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถปรับตัวได้แม้ยังอยู่ในช่วงระบาดก็จะเป็นหนทางในการประคองสภาพเศรษฐกิจของประเทศได้
สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การฉีดวัคซีน ซึ่งนอกจากรัฐจะต้องปรับวิธีปฏิบัติของราชการให้ทำงานรวดเร็วกว่านี้แล้ว สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือการตัดสินใจบนพื้นฐานของความเป็นจริงและสิ่งที่เรามี เพราะวันนี้จากข้อมูลที่กระจ่างชัดขึ้นมากเรื่อยๆก็คือการกลายพันธุ์กำลังจะแซงหน้าประสิทธิภาพวัคซีน แม้จะเป็นตระกูล mRNA ก็ตาม การเร่งฉีดวัคซีนจึงเป็นสิ่งที่ควรทำมากที่สุด เพราะอย่างน้อยป้องกันการเสียชีวิตได้ ในหลายประเทศอาทิ อิสราเอลก็มีประชาชนที่ได้วัคซีน mRNA แล้วครบทั้งสองเข็มกลับมาติดเชื้อได้ แต่อัตราการตายในขณะนี้ที่มีการแพร่ระบาดระลอกใหม่กลับมีจำนวนของผู้เสียชีวิตที่น้อยมาก และเมื่อพิจารณาประเทศที่มีความใกล้เคียงด้านจำนวนประชากรอย่างอังกฤษเองที่ใช้วัคซีน AstraZeneca เป็นหลักก็เห็นได้ว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันการตายได้ดี เมื่อพิจารณาวัคซีนตัวหลักของโลกก็จะเห็นได้ว่านาทีนี้ไม่มีวัคซีนที่ดีที่สุดในการป้องกันการแพร่ระบาด และปรับตัวเข้ากับการพัฒนาของเชื้อกลายพันธุ์ได้
แต่ที่ดีที่สุดคือวัคซีนที่ฉีดเพื่อกันประชาชนป่วยหนัก และกันการเสียชีวิต ซึ่งเมื่อพิจารณาในกรณีของไทย ที่อาจมีการปรับสูตรการฉีดวัคซีน ที่แม้ยังไม่ยอมตัดสินใจเสียทีก็ควรเร่งฉีดที่มีอยู่ให้มากที่สุดและวางแผนเข็มที่สามทันที วันนี้แม้จะมีการเตรียมการนำเข้าวัคซีน mRNA เพื่อมาเพิ่มประสิทธิภาพแล้วแต่ผู้กำหนดเกมการได้รับวัคซีนคือประเทศผู้ผลิตซึ่งกว่าเราจะได้มา ก็เดือนหน้า 1.5 ล้านโดส ส่วนที่เหลือไปถึงไตรมาสสุดท้ายของปีจึงจะได้ การวางแผนพื้นที่ฉีดก่อนถึงวันนั้นจึงมีความสำคัญมากและรัฐควรใช้อำนาจเข้ามาจัดการเอง และให้เอกชนมาเสริม แม้ว่าจะเริ่มมีประเด็นบางอย่างท่ีผิดปกติบ้างแล้วจากฝั่งภาคธุรกิจตามข่าว
ประเทศไทยประสบปัญหาเช่นเดียวกับประเทศอื่น คือการออกมาประท้วงรัฐบาลจากประชาชนต่อการแก้ปัญหาวิกฤติโควิด ต่างกันตรงที่ของไทยแม้ตอนนี้จะมีมาหลายกลุ่มที่ต่อต้านในโซเชียล แต่แกนนำหลักมาจากกลุ่มผู้ประท้วงคือกลุ่มเดียวกับที่เคยประท้วงไล่นายกฯตั้งแต่ปีแรกของรัฐบาล และผู้ประท้วงให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องอำนาจที่มานายกรัฐมนตรี และมาวันนี้ที่การระบาดกำลังรุนแรงก็ยังมีการออกมารวมตัวกันของคนจำนวนมาก
มาถึงเวลานี้ นายกรัฐมนตรีอาจต้องตัดสินใจดูว่าปัญหาเร่งด่วน 4-5 ข้อ ที่เกี่ยวกับชีวิตประชาชนและประเทศตามที่กล่าวมากับเรื่อง การเมือง อะไรสำคัญกว่ากัน เพื่อเอาสมาธิมาช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่หรือจะเอาทุกอย่างไปแก้ปัญหาการเมืองของตนเอง ที่สำคัญภาวะความมั่นคงในทะเลจีนใต้ก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อีกต่อไป ที่ประเทศในอาเซียนที่กำลังกลายเป็นศูนย์กลางการระบาดของโควิด ทั้งอินโดนีเซีย ไทย มาเลเซีย และกำลังมากขึ้นในพม่าและเวียดนามอย่างน่าคิดตอนนี้แล้ว ก็ยังมีการขับเคลื่อนของกองทัพสหรัฐ จีนและแม้แต่กองทัพเรือสหราชอาณาจักร ที่มาประจำศูนย์กลางในเอเชีย อยู่ในตอนนี้อย่างมีนัย เราได้มีการติดตามข่าวหรือเตรียมการด้านความมั่นคงของประเทศบ้างแล้วหรือยัง?
“ไม่ว่าดาบไวปานใด ล้วนมีวันบิ่นชำรุด ไม่ว่าคนเข้มแข็งปานใด ต้องมีวันเจ็บป่วยชราภาพ”
โกวเล้ง มังกรเมรัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี