เรียกว่า “ระทึก” กันรายวันกับ “สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19” ในประเทศไทย ที่นอกจากยอด “นิวไฮ” ติดเชื้อทะลุ 1 หมื่นคน และเสียชีวิตเฉลี่ย 100 คนต่อวัน และทรงตัวอยู่ลักษณะนี้ตลอดต่อเนื่อง ยังต้องลุ้นว่าจะมีมาตรการ “ล็อกดาวน์” อะไรเพิ่มอีกหรือไม่ โดยเฉพาะ “กรุงเทพฯ และกลุ่มจังหวัดสีแดงเข้ม” ที่ยอดผู้ติดเชื้อยังพุ่งไม่หยุด ล่าสุดเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ก็ได้ยกระดับเทียบเท่าที่เคยใช้ในเดือนเม.ย. 2563 “ปิดแทบทุกอย่าง” กันแล้ว
แต่มาตรการล็อกดาวน์เท่าที่เคยใช้มาอาจจะยังไม่พอ ทำให้มีการเปรยออกมาจากทางภาครัฐว่า อาจถึงขั้นต้องยกระดับถึงขั้น “อู่ฮั่นโมเดล” โดยคนแรกที่กล่าวถึงเรื่องนี้คือ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2564 ในการประชุมแนวทางการสื่อสารภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ระหว่างศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศปก.ศบค.) กับผู้บริหารสื่อมวลชน
“ในช่วง 2 สัปดาห์ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะไม่ได้ลดลงและยังคงมีมาตรการเพื่อควบคุมการระบาดต่อไป แต่ในช่วง 2 เดือนข้างหน้า หากทุกฝ่ายร่วมมือกัน เหตุการณ์จะดีขึ้น แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้น จำเป็นต้องเพิ่มมาตรการสูงสุด โดยสิ่งที่เราต้องการคือให้ทุกคนอยู่บ้านไม่ต้องทำอะไร เหมือนกรณีอู่ฮั่นโมเดล คือ อยู่บ้าน แล้วมีคนส่งข้าวส่งน้ำให้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อโดยเฉพาะผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นหรือไม่ หรือในภาพรวมมีผู้ป่วยเกินกว่าระบบสาธารณสุขจะรับไหวหรือไม่” นพ.โอภาส กล่าว
จากนั้นในวันที่ 19 ก.ค. 2564 พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการ ศปก.ศบค. กล่าวถึงเรื่องนี้อีกครั้งกับสื่อมวลชนที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า สำหรับโมเดลอู่ฮั่นนั้นเป็นข้อพิจารณาของกระทรวงสาธารณสุขซึ่งอธิบดีกรมควบคุมโรคได้พูดถึงกรณีนี้ ซึ่งเมื่อถึงขั้นนั้นแล้วก็คงต้องฟังทางกระทรวงสาธารณสุขว่าจะมีการประเมินอย่างไรจำเป็นต้องใช้ลักษณะโมเดลของอู่ฮั่นหรือไม่ แต่ในส่วนของทางด้าน ศบค. มีความพร้อมในทุกกรณี
“อู่ฮั่นโมเดล” คืออะไร? : ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาสื่อมวลชนหลายสำนักมีการนำเสนอเรื่องดังกล่าว ซึ่งหมายถึงมาตรการ “ปิดบ้าน-ปิดเมือง” ยาวนานถึง 76 วัน ตั้งแต่วันที่ 23 ม.ค.-8 เม.ย. 2563 ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน จุดแรกที่พบเชื้อและเป็นศูนย์กลางการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยสิ่งที่รัฐบาลแดนมังกรทำในเวลานั้น ถูกมองว่าเป็นกรณีเฉพาะที่ประเทศอื่นยากจะเลียนแบบได้ ได้แก่
1.ปิดให้บริการขนส่งมวลชนทุกประเภท ทั้งรถโดยสาร รถไฟ เรือและเครื่องบิน รวมถึงห้ามใช้พาหนะส่วนบุคคลเดินทางภายในเมือง 2.ห้ามเดินทางเข้า-ออกเมืองอู่ฮั่น เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นบางกรณี ปิดถนนสายหลักทุกเส้นทางที่เชื่อมระหว่างอู่ฮั่นกับเมืองอื่นๆ มีการตั้งด่านตรวจตามจุดเชื่อมระหว่างเมือง เฝ้าระวังอย่างเข้มงวด พร้อมระบบกล้องวงจรปิดที่คอยสอดส่องผู้ฝ่าฝืนมาตรการทั่วทุกจุดในเมือง 3.ปิดสถาบันการศึกษาทุกระดับ เปลี่ยนเป็นการเรียนออนไลน์ 100% 4.ปิดกิจการเกือบหมดทุกประเภท ยกเว้นร้านอาหารและร้านขายยา
และ “5.ห้ามหรือจำกัดการออกจากบ้าน ในบางจุดของเมืองประชาชนได้รับอนุญาตให้ส่งสมาชิกในครัวเรือนเป็นตัวแทนออกไปซื้อเสบียงอาหารและยาได้ครั้งละ 1 คน ออกได้ทุกๆ 2 วันครั้ง
บ้าง 3 วันครั้งบ้าง แต่ในบางจุดห้ามประชาชนออกนอกบ้านเด็ดขาด โดยรัฐบาลจีนจะจัดกำลังเจ้าหน้าที่ออกแจกจ่ายอาหาร ยา และอุปกรณ์ป้องกันโรคระบาดตามบ้านเรือนให้” ซึ่งมาตรการทั้ง 5 ข้อนี้ ทำควบคู่ไปกับการเร่งตั้งโรงพยาบาลสนาม การตรวจคัดกรองหาผู้ติดเชื้อแบบปูพรม ผู้ติดเชื้อจะถูกแยกไปรักษา ส่วนผู้สัมผัสใกล้ชิดจะถูกห้ามออกจากบ้าน
กลับมาที่ประเทศไทย ทันทีที่ภาครัฐพูดถึงอู่ฮั่นโมเดล ความกังวลเรื่อง “เศรษฐกิจ” ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักทุกครั้งที่มีมาตรการล็อกดาวน์ ทั้งในขั้นเต็มรูปแบบทั่วประเทศ ในบริบทที่ประเทศไทยสามารถทำได้ ทั้งการปิดกิจการต่างๆ เหลือเท่าที่จำเป็น การห้ามออกนอกเคหสถานในยามวิกาล หรือเคอร์ฟิวรวมถึงการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ระลอกแรกช่วงเดือน เม.ย. 2563 ก่อนจะคลายล็อกตามลำดับช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. 2563 และขั้นบางพื้นที่ตามสถานการณ์ความรุนแรง นับตั้งแต่ระลอก 2 ช่วงต้นปี 2564 มาจนถึงระลอก 3 ในปัจจุบัน
ช่วงค่ำวันที่ 20 ก.ค. 2564 ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาลอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เขียนบทความ“ล็อกดาวน์แบบเข้ม-เลยเวลามาแล้ว?” เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว ระบุว่า การล็อกดาวน์แบบเข้มข้นโดยเฉพาะกรณีอู่ฮั่นโมเดลนั้นเป็นนโยบายที่ผิดเวลา ไม่เหมาะกับสถานการณ์ และจะทำให้ภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแออยู่แล้ว มีแต่จะทรุดลง ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง-ขนาดย่อม (SME) จะล้มหายตายจากมากขึ้น โดย “ทางออกสำคัญหนีไม่พ้นการตรวจคัดกรองแบบปูพรมและการฉีดวัคซีน” หากไม่สามารถทำได้ เมื่อคลายล็อกการระบาดก็จะกลับมาได้อีก
วันที่ 21 ก.ค. 2564 เว็บไซต์ นสพ.South China Moring Post ของฮ่องกง เสนอข่าว As COVID-19 batters Thailand’s economy, even pawnshops are running out of customers ว่าด้วยคำบอกเล่าของผู้ประกอบการ “โรงรับจำนำ” รายหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่เปิดเผยว่า ตนเองอยู่กับโรงรับจำนำมาตั้งแต่ปี 2532 แม้แต่ในวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ปี 2540 หรือวิกฤติต้มยำกุ้งก็ยังไม่สาหัสเท่าวิกฤติเศรษฐกิจจากไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ “สิ่งของที่ผู้คนไม่สามารถนำเงินมาไถ่ถอนไว้ตามเวลาที่กำหนดมีจำนวนมากขึ้น”และนั่นคือสัญญาณว่าพวกเขาไม่เหลืออะไรแล้ว
บทความเดียวกันยังกล่าวถึงความเห็นของ ศ.ดร.ภวิดา ปานะนนท์ อาจารย์สาขาวิชาบริหาร ธุรกิจระหว่างประเทศโลจิสติกส์และการขนส่ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่มองว่า ความฝันที่จะเห็น
ประเทศฟื้นตัวในลักษณะอักษรตัว V หรือแม้แต่ตัว U ในภาษาอังกฤษ ที่เห็นได้ในประเทศอื่นๆ ที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังการฉีดวัคซีนนั้นยังดูไกลตัว ซึ่งการฉีดวัคซีนอย่างรวดเร็ว การทดสอบและติดตามที่เหมาะสม รวมไปถึงมาตรการกระตุ้นให้ตรงจุด เป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ในวันเดียวกัน สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ออกมาแสดงความกังวลกรณีการใช้แนวทางอู่ฮั่นโมเดล โดยให้ความเห็นว่า แม้จะเป็น
“ยาแรง” ที่หลานคนอยากให้ดำเนินการ แต่คำถามคือ “เข้ากับบริบทสังคมไทยหรือไม่ และสามารถใช้ได้จริงหรือเปล่า” เพราะไทยกับจีนนั้นแตกต่างกันมาก วิถีชีวิตและความจำเป็นของแต่ละคนก็แตกต่างกันที่สำคัญคือหากใช้แล้วย่อมกระทบกับคนทำมาค้าขาย โดยเฉพาะประชาชนที่มีรายได้เป็นรายวัน ตลอดจนยังมีผลกระทบทางจิตวิทยาด้วย
แม้การควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ให้คลี่คลายจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ “อู่ฮั่นโมเดล” ยาแรงผลข้างเคียงสูงซึ่งเคยใช้รักษาในเมืองจีนมาแล้ว จะเหมาะกับสุขภาพร่างกายแบบไทยๆ หรือไม่..เรื่องนี้ต้องระมัดระวัง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี