วัคซีน mRNA ลอตแรกของประเทศไทยที่จะได้รับในปลายเดือนนี้คือวัคซีนไฟเซอร์ ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่าจะเป็นยอดกว่า 1.5 ล้านโดส ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา จากที่ก่อนหน้านี้ประมาณกลางพฤษภาคม หลังจากสหรัฐและสหภาพยุโรปจัดการวัคซีนให้กับประเทศและกลุ่มประเทศตนเองลงตัวแล้ว จึงเริ่มประกาศบริจาควัคซีนให้กับกลุ่มประเทศยากจนทั่วโลก 200 ล้านโดส ในขณะที่ไทยได้รับบริจาคครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเดียวกับที่รัฐบาลตัดสินใจซื้อวัคซีนไฟเซอร์ 20ล้านโดส พอดิบดี
แต่ก็เป็นช่วงเดียวกับที่ญี่ปุ่นบริจาควัคซีนให้ไทย1 ล้านโดส และจีนบริจาคซิโนแวคเพิ่มรวม 1 ล้านโดส เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสความต้องการของคนไทย รวมถึงเหล่าบรรดาดาราที่ออกมาเรียกร้องที่จะต้องการจะฉีดวัคซีน mRNA ทำให้ไฟเซอร์ลอตแรกนี้เป็นที่จับตาว่ารัฐจะจัดสรรให้ใคร ซึ่งในความเป็นจริงแนวโน้มก็น่าจะไปที่บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าให้ได้รับวัคซีนเพื่อการปฏิบัติงานไปก่อน และแน่นอนต่อด้วยการฉีดให้ชาวต่างชาติที่อยู่ในไทย
ด้วยการระบาดของเชื้อโควิดกลายพันธ์ุสายพันธ์ุเดลต้า ที่กำลังระบาดกระจายไปทั่วโลกที่ทำให้ในหลายประเทศที่จัดการควบคุมได้แล้วต้องนับหนึ่งใหม่ ไม่เว้นแม้แต่ประเทศที่ฉีดวัคซีนไปแล้วอย่าง อิสราเอล ที่ฉีดวัคซีน mRNA ด้วยซ้ำ หรือ อีกหลายประเทศในยุโรปหรือแม้แต่สหรัฐเองก็ตามทำให้งานนี้เริ่มชัดแล้วว่าสงครามเชื้อโควิดไม่จบง่ายๆ และอาวุธที่แต่ละประเทศต้องการในการทำสงครามนี้ก็คือวัคซีน ที่แม้มีเงินก็ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ หรือไม่มีเงินไปเลยก็ไม่ใช่ว่าจะได้รับการช่วยเหลือแบบง่ายๆ เหมือนกับที่ประเทศมหาอำนาจทั้งหลายได้ประกาศไว้ตอนแรก
การช่วยเหลือในโครงการ COVAX ก็เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของพลังอำนาจของประเทศมหาอำนาจไม่กี่ประเทศของโลกที่ประเทศยากจนต้องขอความช่วยเหลือแบบต้องยอมทุกอย่าง เพราะไม่รู้ว่าใครจะได้ก่อนได้หลัง ได้เมื่อไหร่ ได้เท่าไร ได้วัคซีนตัวใดก็ต้องเอาหมด เพราะเป็นที่รู้กันว่าประเทศผู้ผลิตวัคซีนโดยมากอยู่ในยุโรปและสหรัฐ มีเพียงจีนที่อยู่นอกภูมิภาคที่ผลิตได้เอง แต่จีนก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจเช่นกัน ทำให้ไม่แปลกหากจะมีข่าวในช่วงแรกว่า กว่า 60% ของสต๊อกวัคซีนทั้งโลก อยู่ในมือของมหาอำนาจเพียง 16% เท่านั้น ซึ่งทำให้เกิดการต่อรองในเรื่องของการให้สนับสนุนแบบบริจาคที่แม้จะบอกว่าไม่มีเงื่อนไขแต่การเลือกให้ประเทศใดจำนวนที่ไม่เท่ากันหรือลำดับก่อนหลังก็เป็นอำนาจของผู้บริจาค หรือแม้กระทั่งการขายให้แก่ประเทศใด ก็อาจถูกมองได้ว่ามีการพิจารณาถึงองค์ประกอบข้างเคียงใดบ้าง
เหตุใดบางประเทศในเอเชียที่ใกล้ชิดจีนได้รับบริจาควัคซีน mRNA ก่อนใคร หรือแม้แต่เหตุใดวัคซีนซิโนแวคไปโผล่ที่อเมริกาใต้ก่อนใครแทนที่จะเป็น mRNA สักยี่ห้อควรเดินทางไปถึงก่อน ยุโรปและสหรัฐฯเลือกพิจารณาการขายและบริจาควัคซีนให้กับกลุ่มประเทศนอกภูมิภาคอย่างไร หรือแม้แต่ภูมิภาคติดกันประเทศและผิวสีมีผลต่อการตัดสินใจขายหรือบริจาคของสหรัฐและยุโรปหรือไม่ จีนตัดสินใจเลือกขายและบริจาคในทำนองเดียวกันอย่างไร หรือแม้แต่ข่าวที่ออกมาว่าวัคซีนใดดีกว่าแย่กว่าจนเกิดการประท้วงจากประชาชนต่อรัฐบาลไปทั่วโลกเหล่านี้เกิดจากใคร และเพราะอะไร
ไม่นับรวมในกรณีของอินเดียที่สหรัฐทุ่มทรัพยากรวัคซีนเพื่อเร่งแก้ปัญหาการแพร่ระบาดในพื้นที่ นัยหนึ่งคือการแสดงออกเรื่องของมนุษยธรรม และลดการเสียชีวิตของประชากร แต่อีกนัยหนึ่งก็อาจคิดได้ว่าคือการรักษาดุลอำนาจในคาบสมุทรอินเดียหรือไม่ แม้จะบอกว่าในเอเชียเองยังมีญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ที่ยังคงเป็นชาติพันธมิตร แต่ขนาดและขีดความสามารถของประเทศก็อาจเป็นสิ่งสำคัญที่มหาอำนาจเลือกที่จะช่วยอินเดียในตอนนั้น ในขณะที่อินโดนีเซียกำลังรับมืออย่างหนักจากโควิดตอนนี้แต่กลับไม่ได้รับการเหลียวแลจากประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐหรือไม่?
เรื่องหนึ่ง ที่กำลังเป็นที่จับตาในด้านการต่างประเทศตอนนี้ก็คือ เรื่องการเมืองระหว่างมหาอำนาจสองค่ายใหญ่ คือสหรัฐฯ แกนนำโลกเสรีนิยม และจีน พี่ใหญ่แห่งเอเชีย ที่ต่างวางหมากบนแผนที่โลก ทั้งในยุโรป เอเชียใต้ ตลอดจนภูมิภาคอาเซียนที่เป็นสมรภูมิที่กำลังร้อน ทั้งในประเด็นของทะเลจีนใต้ที่อีกไม่นานก็อาจจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของอาเซียน ด้วยหลายประเทศสมาชิกก็เป็นผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่ดังกล่าว อาเซียนจะวางบทบาทของตัวเองอย่างไร? จะมีการแสดงจุดยืนเพื่อต้านทานอำนาจของมหาอำนาจหรือไม่ขณะที่การเคลื่อนไหวของจีนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงก็เป็นประเด็นที่สหรัฐฯและชาติพันธมิตรให้ความสนใจ ทั้งการให้ทุนสนับสนุนการสร้างเขื่อนในลาว การเช่าพื้นที่ท่าเรือและสนามบินในกัมพูชา และการให้ทุนสนับสนุนเมียนมา ที่สหรัฐฯก็มองว่าเป็นการรุกคืบเพื่อควบคุมพื้นที่แม่น้ำโขงและเปิดทางออกสู่ทะเลด้านตะวันตกของจีนตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ด้วย ไม่ต่างกับสหรัฐที่สนับสนุนกิจการของบางประเทศเป็นพิเศษ อย่างไต้หวัน เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และบรรดาประเทศลูกค้ายุทโธปกรณ์ของสหรัฐในเอเชีย และโดยเฉพาะในอาเซียนล้วนอาจมีการเกี่ยวพันทั้งสิ้นกับส่วนแบ่งการค้ายุทโธปกรณ์ที่ตอนนี้จีนเข้ามามีส่วนแบ่งการค้าที่มากขึ้น โดยแม้กระทั่งไทยเองอย่างกรณีเรือรบ
สงครามการค้าก็ยังคงดำเนินต่อไปแม้ในสถานการณ์วิกฤติในปัจจุบัน และในศึกท่ามกลางสถานการณ์ความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจทั่วโลก จีนก็เหมือนจะได้เปรียบ ด้วยการฟื้นตัวที่รวดเร็วหลังประสบการแพร่ระบาดในรอบแรก ที่น่าสนใจคือแผนการของรัฐบาลสหรัฐฯในการสร้างการลงทุนภาครัฐในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและสนับสนุนการศึกษาโดยมีการเตรียมงบประมาณกว่า 3ล้านล้านดอลลาร์เพื่อลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานราว1.1 ล้านล้านดอลลาร์ อีกส่วนนำไปฟื้นตัวธุรกิจจากโควิดนั้น โดยใช้เงินทุนจากการออกตราสารหนี้ให้กับเอกชน รวมถึงพันธบัตรรัฐบาลให้ภาคเอกชน และต่างประเทศร่วมลงทุนผ่านพันธบัตร
แต่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและภาคเอกชนสหรัฐเองก็อาจมีแนวโน้มว่าการลงทุนนี้จะไปถึงฝันจริงหรือ และการระดมทุนตอนนี้เองก็ใช่ว่าจะง่ายอย่างที่คิด ไม่นับการทยอยซื้อและขายพันธบัตรสหรัฐในมือของจีนที่จะทำขึ้นเมื่อไรก็ได้และจีนก็เริ่มแสดงให้เห็นในช่วงที่ผ่านมาแล้วว่าหากไม่ได้จีนในการช่วยซื้อแต่ละครั้ง การขับเคลื่อนของสหรัฐก็อาจดำเนินไปโดยยาก ที่ทำให้ผู้วิเคราะห์หลายคนกำลังมองว่าข้ามผ่านรัฐบาลสหรัฐกว่า 2 รัฐบาลแล้ว สหรัฐก็ยังไม่สามารถเอาชนะจีนในเกมการค้าได้ และยังทวีความทิ้งห่างมากขึ้น จนทำให้สหรัฐกล้าทำอะไรมากขึ้น จนอาจถูกมองว่าเปลี่ยนจากยุทธศาสตร์การค้าเสรีมาเล่นในเกมยุทธศาสตร์การกีดกันทางการค้าและการลงทุนมากขึ้นหรือไม่?
ในทางตรงกันข้ามจีนกลับมีท่าที่จะลดการพึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติมากขึ้น และการซื้อสินค้าที่หลากหลายและนำสมัยมากขึ้น ทั้งเทคโนโลยี โทรคมนาคม ยุทโธปกรณ์ จนมาถึงวิทยาศาสตร์อย่างกรณีวัคซีน ในขณะที่หลายอย่างในการลดการพึ่งการต่างชาติของจีนกลับส่งผลกระทบต่อดุลอำนาจการเมืองระหว่างประเทศโดยบังเอิญหรือไม่ อาทิ การเกษตร จากการที่จีนประกาศจะลดกำลังการซื้อข้าวสาลี และข้าวโพดจากต่างประเทศลง ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจหรือไม่? แต่ประเทศคู่ค้าที่มีความสัมพันธ์กับจีนในการส่งออกข้าวสาลี และข้าวโพดก็คือออสเตรเลียที่เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่ครองตลาดจีนกว่าร้อยละ 70 เรื่องนี้ก็ทำให้กระทบประเทศผู้ผลิตอย่างหนักแต่จะเกี่ยวข้องกับการเมืองระหว่างประเทศหรือไม่ก็ไม่ทราบได้
แต่อย่างกรณีที่ฝั่งยุโรปเองกลุ่มชาติพันธมิตรนาโต(NATO) ก็ได้มีการรับลูกกลุ่ม G7 ที่ระบุว่าจีนเป็นภัยคุกคามชาติตะวันตก โดยอ้างข้อมูลในเรื่องของการโจมตีทางไซเบอร์ที่จีนมีความพยายาม หรือสนับสนุนให้มีการโจรกรรมทางไซเบอร์ต่อชาติตะวันตกหลายครั้ง มีการร่วมซ้อมรบกับรัสเซียซึ่งเป็นอีกหนึ่งภัยคุกคามของชาติตะวันตก รวมทั้งการพัฒนาแสนยานุภาพทางทะเลอย่างก้าวกระโดดที่ทำให้เชื่อว่าจีนกำลังเติบโตเป็นภัยคุกคามต่อชาติตะวันตก
ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าขณะนี้โลกเองกำลังโดนฉีกเป็นสองขั้วใหญ่หรือไม่ ประเทศขนาดกลางและเล็กทั่วโลกทุกวันนี้ก็กำลังจะต้องเผชิญภาวะอย่างหลีกหนีไม่ได้คือการถูกบังคับให้เลือกข้างว่าจะเป็นพันธมิตรใคร ผ่านกระบวนการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การค้าระหว่างประเทศ และแม้กระทั่งความเป็นประเทศลูกค้าในการซื้อยุทโธปกรณ์ หรือแม้แต่ล่าสุดการตัดสินใจขายหรือการบริจาควัคซีนของประเทศมหาอำนาจเหล่านี้แต่ที่หนักหนากว่าการต้องตัดสินใจดำเนินกลยุทธ์นโยบายระหว่างประเทศเพื่อประคองความสัมพันธ์กับทุกขั้วอำนาจแล้วก็ยังต้องต่อสู้กับความคิดและทำความเข้าใจกับคนไทยเองให้เข้าใจในสถานการณ์โลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงขณะนี้ด้วย
เหตุการณ์ในโลกคล้ายเกมหมากรุก แปรปรวนสุดหยั่ง
มีผู้ใดคาดคำนวณชะตากรรมวันพรุ่งนี้ได้
โกวเล้ง มังกรเมรัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี