นับตั้งแต่การปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจบริหารประเทศโดยฝ่ายกองทัพพม่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ประชาคมโลกก็ฝากความหวังไว้ให้กับประชาคมอาเซียน เพื่อให้ช่วยนำประชาธิปไตยกลับคืนสู่พม่า และเสริมสร้างเสถียรภาพให้กับพม่า รวมทั้งยุติผลกระทบที่จะพึงมีมาต่อประเทศเพื่อนบ้าน ต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และต่อสังคมโลกโดยทั่วไป
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า พม่านั้นเป็นสมาชิกประเทศ1 ใน 10 ของประชาคมอาเซียน ฉะนั้นเรื่องหนึ่งเรื่องใดที่เกิดขึ้นในหนึ่งประเทศสมาชิก ก็จัดได้ว่าเป็นเรื่องของ “ครอบครัวประชาคมอาเซียน” สมาชิกครอบครัวก็มีภาระจำเป็นที่จะต้องร่วมมือช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
การปฏิวัติรัฐประหารดังกล่าว ถือเป็นการทำลายล้างสังคมประชาธิปไตยพม่า และปฏิเสธอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวพม่า อีกทั้งเป็นการละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศที่พม่ามีต่อประชาคมโลก เช่นในกรอบของข้อตกลงและสนธิสัญญาต่างๆ ขององค์การสหประชาชาติ และในกรอบของกฎบัตรอาเซียน โดยเฉพาะในเรื่องการเป็นประชาธิปไตย การเคารพปกป้องและส่งเสริมเรื่องสิทธิมนุษยชน และการมีประชาชนพลเมืองเป็นศูนย์กลางและที่ตั้งของความเป็นไปทั้งในแต่ละประเทศสมาชิกและในประชาคมอาเซียนโดยรวม
จึงไม่แปลก หากโลกจะตั้งความหวังไว้กับประชาคมอาเซียน ในการแก้ปัญหาการปฏิวัติรัฐประหารที่พม่า และหยุดยั้งผลกระทบทั้งต่อภายในและภายนอกประเทศพม่าซึ่งที่ผ่านมา ผู้นำประชาคมอาเซียนได้จัดการประชุมสุดยอด ที่กรุงจาการ์ตา เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2564 โดยได้เชิญหัวหน้าปฏิวัติของพม่าเข้าร่วมด้วย (หลังจากที่การปฏิวัติผ่านไปแล้วร่วม 3 เดือน)
อย่างไรก็ดี หลังจากการประชุมสุดยอดครั้งนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้ ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ออกมาเป็นรูปธรรมไม่ว่าจะเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหา เช่นการแต่งตั้งผู้แทนพิเศษอาเซียนในเรื่องพม่า การเปิดการเจรจาระหว่างฝ่ายทหารกับฝ่ายต่อต้านที่เป็นพวกประชาธิปไตย เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ ประชาคมโลกจึงเริ่มตระหนักในความล้มเหลวของผู้นำอาเซียนในการที่จะมีความมุ่งมั่น เอาจริงเอาจังกับความรับผิดชอบในเรื่องพม่า หรือนัยหนึ่งประชาคมโลกรู้ตัวแล้วว่า คงไม่สามารถที่จะพึ่งพาประชาคมอาเซียน และบรรดาผู้นำได้ เพราะฝ่ายกองทัพพม่านั้นยังคงใช้ความรุนแรงและอำนาจทางกฎหมาย ทั้งในการทำร้าย เข่นฆ่า และกวาดต้อนผู้คนเข้าสู่คุกตะราง ส่งผลให้เกิดการโยกย้ายถิ่นฐานภายในประเทศนับแสนๆ คน เศรษฐกิจชะงักงัน การบริการภาครัฐแทบจะไม่เหลือหรอ ผู้คนขาดอาหาร น้ำ และสิ่งจำเป็นในชีวิตและที่สำคัญไม่ได้รับการปกป้องดูแลในเรื่องโควิด-19 แต่อย่างใดตรงกันข้ามกับฝ่ายกองทัพและครอบครัว ที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
จำนวนผู้อพยพลี้ภัยที่ทะลักเข้าไปยังประเทศอินเดียและไทย ก็ทวีจำนวนเป็นหมื่นเป็นแสนคน เท่ากับว่าทั้ง2 ประเทศนี้เป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งต่างก็มีหน้าที่เยี่ยงประเทศที่มีความศิวิไลซ์ ในการเปิดพรมแดนและในการร่วมมือช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม โดยประสานกับองค์การสหประชาชาติ องค์กรที่มิใช่รัฐ โดยการสนับสนุนของมิตรประเทศต่างๆ
ในขณะเดียวกันก็มีข่าวว่า หลายๆ ประเทศและเครือข่ายขององค์การสหประชาชาติ ได้เริ่มมีการพูดจาติดต่อกับฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหารมากขึ้นเป็นลำดับแล้ว โดยสมัชชาใหญ่สหประชาชาติได้ออกข้อมติไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติรัฐประหาร และเรียกร้องให้มีการยุติการค้าขาย หรือการร่วมมือช่วยเหลือทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ต่อฝ่ายกองทัพพม่าเพิ่มเติมจากการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ที่หลายๆ ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยได้เริ่มดำเนินการแล้ว
ขั้นต่อไปที่ได้มีการเรียกร้องโดยผู้ฝักใฝ่ในเรื่องประชาธิปไตยต่อรัฐบาลและองค์การร่วมมือระหว่างประเทศต่างๆ ก็คือ การรับรอง หรือการเปิดการติดต่อสร้างความสัมพันธ์กับฝ่ายประชาธิปไตยพม่า อันได้แก่ คณะรัฐบาล เพื่อเอกภาพแห่งชาติ (National Unity Government - NUG) อีกทั้งในการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติที่จะเกิดขึ้นในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งก็มีการเคลื่อนไหวให้ปฏิเสธสาสน์ตราตั้ง (Credentials) จากฝ่ายกองทัพพม่าภายใต้ชื่อSpecial Administrative Council - SAC และให้มีการรับรองสาสน์ตราตั้งของฝ่าย NUG
นอกจากนั้น ก็มีเสียงเรียกร้องมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับไปยังรัฐบาลไทยให้คำนึงถึงความเดือดร้อนและการสูญเสียซึ่งประชาธิปไตยของชาวพม่าเป็นหลัก และให้พิจารณาเปิดพรมแดนเพื่อการร่วมมือช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม นอกจากนั้น ก็ยังมีเสียงเรียกร้องให้ทั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และเลขาธิการสหประชาชาติมีบทบาทนำในการแก้ไขปัญหาพม่าอย่างแข็งขัน โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ส่วนเลขาธิการสหประชาชาติก็มีหน้าที่ในการสอดส่องดูแลและติดตามความเป็นไปที่เกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์ ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
สำหรับชาวอาเซียนที่หวงแหนประชาธิปไตย และต้องการสิทธิเสรีภาพให้กับเพื่อนอาเซียนชาวพม่า ก็จะต้องร่วมแรงร่วมใจกันในการบอกกล่าวกับรัฐบาลของตน ให้แสดงความห่วงใย และลงมือช่วยเหลือชาวพม่าในยามทุกข์ยากนี้เป็นสำคัญอย่างเป็นรูปธรรมเสียที อย่ามัวแต่กระมิดกระเมี้ยนเกี่ยงกันไปกันมา จนรัฐบาลทหารพม่าไม่รู้สึกว่าจะต้องเกรงใจเพื่อนบ้านชาวอาเซียนอีกต่อไป
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี