เมื่อเติ้ง เสี่ยว ผิง ผู้นำสูงสุดของจีนประกาศเปิดประเทศในปี ค.ศ. 1978 (พ.ศ. 2521) โลกทั้งโลกก็ต่างยิ้มแย้มและอ้าแขนรับประเทศจีนด้วยความตื่นเต้นและยินดีเพราะเมื่อจีนจะก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทำมาค้าขายในระบบเศรษฐกิจการตลาดแบบทุนนิยมแล้ว ก็จะทำให้เศรษฐกิจของโลกไม่ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย นั่นคือระบบทุนนิยม กับระบบสังคมนิยม อีกต่อไป และยังจะส่งผลให้ตลาดโลกใหญ่โต และไร้พรมแดนมากขึ้น
ในการนี้ ชาวโลกยังหวังกันด้วยว่า การนี้จะช่วยลดความตึงเครียด และการขัดแย้งแข่งขันกันในเรื่องอุดมการณ์ หรือนัยหนึ่งการเห็นต่างและขัดแย้งกันทางด้านอุดมการณ์ทางการเมืองระหว่างระบบปิดและเปิด ก็จะถูกนำไปเก็บไว้ในลิ้นชัก ทำให้โลกสามารถทำมาค้าขายกันภายใต้ระบบเดียวกัน (การตลาดแบบทุนนิยม)
โลกตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา และประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปนั้น มีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษ เพราะเล็งเห็นลู่ทางและโอกาสที่จะเข้าไปทำมาค้าขายกับจีน โดยต่างตระหนักในศักยภาพของจีน ซึ่งมีความใหญ่โตทั้งเรื่องพื้นที่และทรัพยากร นอกจากนั้น จีนยังมีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก ซึ่งก็จะเป็นได้ทั้งแรงงานราคาถูกและเป็นผู้บริโภคที่สำคัญยิ่ง
ฝ่ายสหรัฐอเมริกา และประเทศตะวันตกอื่นๆรวมทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ก็มิได้คิดเพียงแค่ผลพลอยได้ทางเศรษฐกิจการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และตลาดการเงินเท่านั้น แต่คิดไปอีกขั้นหนึ่งทั้งด้วย การคิดคำนวณการคาดการณ์ และการมุ่งหวังว่า เมื่อจีนพัฒนาเศรษฐกิจขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง ประชากรที่ได้ลิ้มรส และเสพติดระบบทุนนิยมและมีความมั่งคั่ง มั่งมีศรีสุขแล้ว ก็จะมีความเป็นชนชั้นกลางมากยิ่งขึ้น ซึ่งโดยปกติก็จะมิได้พึงพอใจต่อความผาสุกทางด้านวัตถุเท่านั้น หากแต่จะเพิ่มความพึงประสงค์ในเรื่องสิทธิเสรีภาพ และการมีส่วนร่วมในความเป็นไป ในการกำหนดทิศทางของประเทศอีกด้วย
นั่นหมายถึง การเปิดประเทศสู่ระบบทุนนิยมของจีนนั้น จะส่งผลให้ชาวจีนรวมตัวกันออกมาเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยในไม่ช้า
40 ปีให้หลัง จีนประสบความสำเร็จเป็นที่น่าทึ่งของโลก ทั้งผลงานทางด้านเศรษฐกิจการค้า และการยกระดับชีวิต การขยายเมืองเล็กเมืองใหญ่ การเป็นสังคมชนชั้นกลางต่างๆ เหล่านี้
แต่ทว่าความสำเร็จเหล่านี้กลับมิได้นำประเทศจีนไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองให้เป็นระบอบเสรีประชาธิปไตยแต่อย่างใด จีนยังคงควบระบอบเศรษฐกิจที่เปิด กับระบอบการเมืองที่ปิด ภายใต้การนำพาของพรรคคอมมิวนิสต์ ที่มีสมาชิกถึง 95 ล้านคน จากประชากรของจีนทั้งหมดประมาณ 1,400 ล้านคน
ซึ่งก็หมายความว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังคงครองอำนาจแต่เพียงพรรคเดียว ไม่มีการเปิดโอกาสให้มีการจัดตั้งพรรค และให้มีการแข่งขันกันระหว่างพรรค แถมพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังรักษาความเป็นเอกภาพภายในไว้ได้ และมีอำนาจเด็ดขาดเหนือสังคมจีน โดยแสดงความเด็ดเดี่ยวอย่างเหี้ยมโหดในการปราบปรามและขจัดความเห็นต่าง และการเรียกร้องประชาธิปไตยและเสรีภาพ ดังเช่นในกรณีการนองเลือดที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ในปี ค.ศ. 1989 (พ.ศ.2532) ซึ่งถูกกลบไปด้วยความโดดเด่นของผลงานทางด้านพัฒนาเศรษฐกิจซึ่งได้สร้างความชื่นชอบ และความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับประชาชนชาวจีนอีกด้วย หรือนัยหนึ่งคนจีนส่วนใหญ่ยังยอมรับสภาพของ “ท้องอิ่มและสมองตื่น”
ในมุมกว้างระดับโลกนั้น ความคาดหวังคาดการณ์ของฝ่ายสหรัฐอเมริกา และโลกตะวันตกที่จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองของจีน ไปสู่สังคมประชาธิปไตยอันสืบเนื่องมาจากการรับระบบทุนนิยมเข้ามาเป็นวิถีชีวิต ได้กลายเป็นหมัน หรือนัยหนึ่งประชาธิปไตยของจีนมิได้มาตามนัด ซึ่งก็ได้สร้างความผิดหวังให้กับสหรัฐฯ และโลกตะวันตกอย่างใหญ่หลวง แถมยังได้รับผลกระทบกลับมาที่บ้านของตนเอง อันสืบเนื่องมาจากการที่บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายได้ขนย้ายโรงงานต่างๆ จากสหรัฐฯ และยุโรป ไปตั้งไว้ที่จีนเพื่อใช้ประโยชน์จากแรงงานราคาถูก และการบริโภคสินค้าที่ได้ไปลงทุนกันไว้ แล้วนำกลับมาขายที่บ้านตน และต่างได้รับกำไรกันอย่างมากมายมหาศาล
ซึ่งส่งผลให้เกิดกรณีของคนอเมริกัน และคนยุโรปตกงานกันอย่างมหาศาล เมืองอุตสาหกรรมกลายเป็นเมืองร้าง คุณภาพชีวิตของแรงงานมีฝีมือและชนชั้นกลางตกต่ำ ขณะที่บริษัทผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ สถาบันการเงินและกิจการธนาคาร การเก็งกำไรในตลาดหุ้น และกิจการทางด้านสื่อและสารสนเทศ รวมทั้งกิจการบันเทิงผ่านสื่อสมัยใหม่ที่ใช้แรงงานน้อย และเครื่องจักรเครื่องกลสมัยใหม่มากขึ้น ต่างมีกำไรกันอย่างมหาศาล กลายเป็นเรื่องของความมั่งมี มั่งคั่งกระจุกตัว และได้นำไปสู่ความแตกแยกในสังคมและชนชั้น และความเกลียดชังที่ตามมา พร้อมกับการเติบโตของลัทธิคลั่งชาติ และกีดกันชาวต่างชาติทั้งผู้อพยพลี้ภัย และผู้ประสงค์เข้ามาทำธุรกิจและหางานทำ
จัดได้ว่าสภาพชีวิตของชนชั้นกลางของคนอเมริกันและยุโรปตกต่ำ ขณะที่สภาพชีวิตของชนชั้นกลางของจีนดีขึ้น เสมือนว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติได้ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนพัฒนาประเทศจีน และปล่อยปละละเลย หรือบ่อนทำลายชนชั้นกลางของอเมริกาและยุโรป
เมื่อสหรัฐอเมริกาและฝ่ายตะวันตกยอมรับว่าตนเองคาดการณ์ในเรื่องจีนผิดพลาดจนตนเองเกิดปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมภายในมากมาย ก็เริ่มกลับมาทบทวน เพื่อที่จะแก้ไข ปรับปรุงภายใต้กรอบประชาธิปไตยต่อไปให้ได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องของการสร้างงาน เรื่องของค่าจ้างแรงงานให้สมน้ำสมเนื้อกับค่าใช้จ่าย และคุณภาพชีวิตที่มีความมั่นคง มีอนาคต ไปจนถึงเรื่องการบริการทางด้านการศึกษา สาธารณสุขสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการขนส่งและการคมนาคมอีกทั้งก็ต้องมีการปรับปรุงระบบภาษีให้มีความยุติธรรม และหลุดพ้นจากการครอบงำของบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ หรือนัยหนึ่งให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้นเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาช่องว่างและความเหลื่อมล้ำและความคิดอ่านที่รุนแรงและสุดโต่ง ซึ่งสังคมอเมริกันและยุโรปมีพื้นฐาน และสาระในความเป็นประชาธิปไตยอันยาวนาน ก็อยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขได้ โดยเฉพาะทางฝ่ายการเมืองทั้งหลาย และความเป็นผู้นำของตัวประธานาธิบดี และประธานกรรมาธิการต่างๆ ของทั้งสภาสูงและสภาล่างของสหรัฐอเมริกา
ในขณะเดียวกัน โลกก็จะต้องเฝ้ามองกันต่อไปว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะคงความเป็นหนึ่งไปได้อีกนานเท่าใด และชนชั้นกลางของจีนที่จะมีมากขึ้นๆ เป็นลำดับนั้น จะยังคงมีความพึงพอใจแค่ความสบายทางวัตถุ หรือจะก้าวไปข้างหน้าโดยต้องการมีความสบายใจทางด้านจิตใจ ความคิด ความอ่าน และสิทธิ์ในการมีส่วนร่วมมากขึ้น และผู้นำจีนยังจะพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเหตุการณ์จัตุรัสเทียนอันเหมินครั้งที่ 2 กันแค่ไหน และอย่างไร?
โลกตะวันตกได้ส่งมอบทุนนิยมให้กับชาวจีน และประชาชนจีนก็มีคุณภาพชีวิตทางกายภาพที่ดีขึ้นแล้ว หลังจากนี้ ก็ขึ้นอยู่กับชาวจีนแล้วว่า จะต้องการชีวิตที่มีคุณภาพทางจิตใจกันแค่ไหน และจะมุ่งจัดหาทุนประชาธิปไตยกันหรือไม่?
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี