โรคระบาดโควิด-19 เป็นที่น่าสะพรึงกลัวกว่าโรคระบาดใดๆ ในอดีตที่ผ่านมา เพราะกระจายไปทั่วทุกมุมโลกได้อย่างรวดเร็วอย่างที่โลกไม่เคยประสบหรือพบเห็นมาก่อน และยังไม่มีท่าทีที่จะสลายไปในระยะเวลาอันใกล้นี้
โรคระบาดโควิด-19 มิเพียงคุกคามคร่าชีวิตของมวลมนุษยชาติเท่านั้น หากแต่ยังสร้างความปั่นป่วน อลเวง และเสียหายต่อชีวิตประจำวันต่อการประกอบอาชีพ รวมถึงการติดต่อข้องแวะระหว่างมวลมนุษย์ด้วยกัน จัดได้ว่าไม่มีเรื่องหนึ่งใดที่เรียกว่าเป็นเรื่องธรรมดาๆ หรือประจำวันของมนุษย์ที่ไม่ถูกกระทบกระเทือน
แต่การปรับตัวเพื่อความอยู่รอดให้ได้นั้นเป็นสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย โดยมนุษย์นั้นมีสติปัญญาที่จะใช้เผชิญและปราบโรคระบาดโควิด-19 หรือล้อมคอกมันให้ได้ ซึ่งการร่วมมือ ร่วมใจ ร่วมแรง ร่วมสติปัญญา ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ จะต่างคนต่างทำไม่ได้และจากสภาวการณ์โลกที่เคยต่างคนต่างเอาตัวรอด ต่างช่วยตัวเองไปตามยถากรรมนั้น โลกก็เริ่มจะได้เห็นการร่วมมือช่วยเหลือกันอย่างเป็นรูปเป็นร่างมากยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน แต่ละสังคม แต่ละประเทศก็ต้องช่วยตัวเองเป็นสำคัญด้วย ในขณะที่สังคมประเทศที่จัดได้ว่าเป็นกลุ่มด้อยพัฒนา หรือกำลังพัฒนานั้น แม้ว่าจะขาดองค์ความรู้ ทักษะว่าด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่สังคมเหล่านี้ (รวมทั้งสังคมไทย) ก็มีองค์ความรู้แต่โบร่ำโบราณสืบทอดกันมา ว่าด้วยการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อเป็นเครื่องบำรุง เป็นยารักษา บรรเทาและป้องกันร่างกาย ซึ่งกล่าวโดยรวมก็คือ การแพทย์แผนโบราณ
และบัดนี้ยาฟ้าทะลายโจรก็ได้กลายเป็นที่ยอมรับนับถือ เชื่อมั่น (โดยก่อนหน้านี้ก็ได้มีการกล่าวถึงคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ยิ่งของกัญชา) ซึ่งเมื่อมีการพัฒนากันต่อไป ก็หมายถึงการเพิ่มขีดความสามารถของสังคมที่ยังล้าหลังในการพึ่งพาตนเอง และลดการพึ่งเคมีภัณฑ์ที่เป็นผลงานของบรรดาสังคมที่พัฒนาแล้ว
ฉะนั้น สังคมไทยแต่วันนี้ก็จะต้องยกระดับภูมิปัญญาว่าด้วยแพทย์แผนโบราณของไทยกันอย่างจริงจัง โดยมีการลงทุนจัดหางบประมาณที่มาจากภาษีจากการบริจาคของผู้มีจิตศรัทธาในการส่งเสริมองค์ความรู้ การค้นคว้าวิจัยและพัฒนากันอย่างจริงจังเป็นวาระแห่งชาติ
ในการนี้สังคมไทยก็จะสามารถลดค่าใช้จ่ายที่มากมายมหาศาลในการจัดซื้อยาวัคซีนราคาแพง แถมยังถูกค้ำจุนด้วยระบบการคุ้มครองว่าด้วยสิทธิทางปัญญา หรือสิทธิบัตรต่างๆ ที่ทำให้สังคมไทย และสังคมพัฒนาอื่นๆ นอกจากต้องพึ่งพาแล้ว ยังขาดอำนาจต่อรองและสูญเสียค่าใช้จ่ายอย่างมากมายมหาศาล
เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เราพัฒนายาของเราเองได้ ส่วนเกินของการพึ่งพาต่างชาติก็จะลดลงไปได้อย่างแน่นอน ฉะนั้น โรคระบาดโควิด-19 ก็สอนให้เราต้องพึ่งตัวเองให้มากขึ้นตัดส่วนเกินที่ยืมจมูกของผู้อื่นหายใจออกไป
ในขณะเดียวกัน ในสภาวะของการอยู่กับโรคระบาดโควิด-19 นี้ทุกครัวเรือนทั่วโลกก็ต้องใช้เวลาอยู่ที่บ้านเรือนที่พักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิตของมวลมนุษย์ โดยเฉพาะในตัวเมืองมาหลายร้อยปีโดยการทำงานก็ต้องทำที่บ้าน การเรียนหนังสือก็ต้องทำที่บ้าน การหาความบันเทิงก็ต้องทำที่บ้าน แม้กระทั่งการรับประทานอาหารก็ต้องทำที่บ้านทุกมื้อก็ว่าได้ และการติดต่อสื่อสารต่างๆ ก็ไม่ต้องเคลื่อนไหวทางร่างกายออกไปนอกบ้าน แต่สามารถกระทำการผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ ได้ ในอีกมุมมองหนึ่งก็มีผลให้ครอบครัวต้องอยู่ด้วยกัน ได้พูดจาข้องแวะกันได้มาก และสามารถร่วมกันจัดเวลา หรือจัดทำตารางชีวิตประจำวันได้ร่วมกันเสมือนเป็นนักเรียนประจำหรือนักเรียนกินนอน และคำว่าพ่อแม่ หรือผู้ปกครองไม่มีเวลาให้กับลูกหลานก็ใช้การไม่ได้อีกแล้ว ก็ขึ้นอยู่ว่าจะใช้เวลาที่อยู่ด้วยกันมากมายนั้น ให้เป็นประโยชน์ด้วยสติแห่งความเพียงพอและอะลุ้มอล่วยและด้วยความราบรื่นได้อย่างไร ซึ่งก็คงไม่เกินขีดความสามารถใดๆ โดยเฉพาะที่พวกเราส่วนใหญ่ต่างเป็นชาวพุทธ
ชีวิตของผู้คนทั่วโลกในช่วงตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2เป็นชีวิตภายใต้ระบบการทำมาหากินที่เรียกว่า ระบบทุนนิยม อันได้แก่การผลิตเพื่อค้ากำไรและเพื่อการบริโภค ที่มีการโฆษณาเสนอสิ่งเย้ายวนใจกันตลอด คงไม่เป็นที่แปลกใจที่ว่า แต่ละคน แต่ละครอบครัวโดยทั่วไปจะยากดีมีจน หรือมีระดับรายรับ รายจ่าย แตกต่างกันไป แต่ก็สามารถจะประเมินประมาณได้ว่า สิ่งของที่ใช้ในบ้าน อาหารแห้ง อาหารสด อาหารสำเร็จรูปต่างๆ นั้น เรามีอยู่เกินกว่าที่เราต้องการ (Excess) เพราะเราทุกคนได้กลับกลายมาเป็นมนุษย์ผู้บริโภค เราต่างตกอยู่ในระบบทุนนิยมด้วยลัทธิบริโภคนิยม (Consumerism)
แต่เมื่อโรคระบาดโควิด-19 อุบัติขึ้น มันบอกเราทุกคนว่า ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องตระเวนไปหาอาหารเอร็ดอร่อยกิน ไม่ต้องไปเดินจ่ายตลาด จ่ายข้าวของ (Shopping)กันทุกวี่ทุกวัน ไม่ต้องไปหาความเริงรมย์ที่สถานที่ต่างๆ แต่เราสามารถอยู่กันด้วยความพอดีๆ พอเพียง ไม่ต้องมีความเกิน หรือความมากล้นใดๆ ก็ได้ และที่สำคัญความสุขนั้นสามารถที่จะหาได้ที่บ้าน เมื่อเราครอบครัวสามารถอยู่ร่วมกัน มีกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน และมีเวลาพูดคุยปรึกษาหารือ และเมื่อค่าใช้จ่ายนอกบ้านน้อยลง ก็ทำให้เราสามารถที่จะมีเงินออมมากขึ้นได้
ฉะนั้น จากการรักษาเนื้อรักษาตัวอยู่ภายใต้การคุกคามโรคระบาดโควิด-19 นั้น เราจะมีชีวิตที่ไม่เกิน ไม่ล้น ไม่เหลือใช้ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่อยาก กันต่อไปได้หรือไม่ หรือนัยหนึ่งเราจะสามารถตัด Excess ได้กันจริงจังหรือไม่ ในขณะเดียวกัน ผู้บริหารประเทศก็ต้องมาทบทวนนโยบายของการเพิ่มการบริโภคที่โยงกับการลดแลกแจกแถมด้วยนโยบายประชานิยม แล้วหันกลับมาสู่การคิดว่าด้วยการสร้างงาน การจัดหารายการทางวิทยุโทรทัศน์ที่เป็นประโยชน์ต่อครอบครัว และโดยเฉพาะเยาวชน ไปจนถึงการจัดหาระบบที่เรียกว่าเป็นการเรียนตลอดชีวิต (Life Long Learning) ทั้งในเรื่ององค์ความรู้ร่วมสมัย และทักษะในการดำรงชีวิต ซึ่งจะมีเรื่องสารสนเทศ และเทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องมีติดตัวไปตลอด
ตัวอย่างหนึ่งก็คือ การสอนวิธีการใช้โทรศัพท์มือถือผ่านทางจอโทรทัศน์ หรือการอธิบายความว่าด้วยเศรษฐกิจสมัยใหม่ จะเป็นเศรษฐกิจสีเขียว สีฟ้าทะเล หรือเศรษฐกิจหมุนเวียนก็ตาม ไปจนถึงเมื่อฝ่ายผู้บริหารประเทศมีข้อคิดเห็นใดๆ ที่เกี่ยวกับส่วนรวมก็สามารถจัดเวทีหารือ และให้มีการลงคะแนนเสียงด้วยระบบการสื่อสารสมัยใหม่ได้ ซึ่งนอกจากจะเป็นการเสริมสร้างองค์ความรู้ และการเปิดให้มีการมีส่วนร่วมแล้ว ก็ยังเป็นการส่งเสริมประชาธิปไตยแบบทางตรงอีกด้วย
โดยสรุปโรคระบาดโควิด-19 นี้ แม้จะน่ากลัว แต่มันก็สอนให้เราตัดส่วนเกิน ส่วนล้นของชีวิต และในขณะเดียวกันทางฝ่ายผู้ปกครองประเทศก็สามารถที่จะกระชับแนวทางพัฒนาประเทศ และกระชับบทบาทของการบริการต่อสาธารณชนได้อย่างมากมาย
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี