เดือนสิงหาคมนี้ กลุ่มตาลิบันได้กลับมาครองเมืองโดยกุมอำนาจบริหารประเทศอัฟกานิสถานอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เคยถูกขับไล่ออกไปโดยฝ่ายตะวันตก ที่นำโดยสหรัฐอเมริกา และกลุ่มชาติพันธุ์อัฟกันหลายกลุ่มเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
การได้ชัยชนะของกลุ่มตาลิบันในครั้งนี้ก็คงจะมีการถกเถียงวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ โดยวงการการเมือง วิชาการ และสื่อไปอีกยาวนาน หรือมองอีกมุมหนึ่งว่า ทำไมฝ่ายตะวันตกนำโดยสหรัฐฯ และกองทัพอัฟกันจำนวน 300,000 คน ที่ฝ่ายสหรัฐฯ และตะวันตกได้ฝึกฝนมาอย่างช่ำชอง ถึงยกธงขาวได้อย่างง่ายดาย (ซึ่งผมเองก็คงจะร่วมวิเคราะห์ด้วยในโอกาสต่อไป)
แต่ในโอกาสนี้ ในบทความนี้ก็อยากจะเสนอมุมมอง ผลกระทบต่อการกลับมาเป็นรัฐบาลครั้งที่สองของฝ่ายกลุ่มตาลิบันเสียก่อน ซึ่งผลกระทบนั้นมิได้จำกัดอยู่ที่ตัวประเทศอัฟกานิสถาน และภูมิภาคเอเชียกลาง และชมพูทวีปเท่านั้น หากแต่จะส่งผลกระทบขจรขจายไปทั่วโลก โดยเฉพาะการต่อสู้และขับเคี่ยวระหว่างกลุ่มประเทศเสรีประชาธิปไตยที่แยกเรื่องศาสนาออกจากเรื่องการบ้านการเมือง และไม่เอาด้วยกับการเมืองการปกครองเผด็จการทุกรูปแบบกับฝ่ายกลุ่มประเทศที่ประสงค์ให้นำการสั่งสอนทางศาสนามาเป็นกฎเกณฑ์ของการเมืองการปกครอง และเป็นไปในรูปแบบของความเป็นเผด็จการ อีกทั้งพวกเผด็จการด้วยกันจะเป็นไปด้วยศาสนานิยม อัตตานิยม หรือคณาธิปไตยนิยม ก็จะรวมหัวกันเป็นพรรคเป็นพวกที่จะต่อต้านฝ่ายตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่มุ่งมั่นในเรื่องเสรีประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ และสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
ซึ่งก็หมายความว่า โลกซึ่งเพิ่งผ่านพ้นยุคโลกสงครามเย็นซึ่งเป็นยุคของการแข่งขันและเผชิญหน้ากันในเรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยหรือโลกเสรี กับฝ่ายคอมมิวนิสต์เผด็จการเบ็ดเสร็จ มาได้ไม่นาน เมื่อเข้ายุคนี้ ก็จะเปลี่ยนมาเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่าง 2 กลุ่มความคิด คือ ฝ่ายนิยมตะวันตก (เสรีนิยม) กับฝ่ายที่ไม่เอาด้วยกับฝ่ายตะวันตก (อำนาจนิยม + ศาสนานิยม)
ดังจะเห็นได้ว่าฝ่ายเสรีนิยมก็จะประกอบด้วยประเทศตะวันตก รวมทั้งออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เป็นต้น และฝ่ายอำนาจนิยมและศาสนานิยมก็จะมีจีน เกาหลีเหนือ คิวบา รัสเซีย อิหร่าน และปากีสถาน เป็นต้น
นั่นก็เป็นความคึกคักในระดับการเมืองระหว่างประเทศในระดับหนึ่ง อีกระดับหนึ่งคือ การเคลื่อนไหวของบรรดากลุ่มศาสนานิยม หรือการเมืองอิสลามนิยมทั่วโลก รวมทั้งกลุ่มแบ่งแยกดินแดนมุสลิมภาคใต้ของประเทศไทยว่า คงจะมีความปีติยินดี มีกำลังใจกันอย่างล้นพ้นต่อชัยชนะของฝ่ายตาลิบัน เป็นแบบอย่างและเป็นความหวัง อีกทั้งก็เล็งเห็นความช่วยเหลือที่จะมีเข้ามาเป็นการช่วยเพิ่มพลังและอำนาจต่อรอง
นอกจากนั้น พวกเผด็จการนิยมทั่วโลก ไปจนถึงพวกเสรีประชาธิปไตยด้วย ก็จะเพิ่มความไม่แน่ใจเกี่ยวกับความเป็นผู้นำของสหรัฐอเมริกาและฝ่ายตะวันตก และในยามคับขันจะพึ่งพาสหรัฐฯ และฝ่ายตะวันตกได้จริงหรือไม่
เพราะสหรัฐฯ นั้นเคยแพ้สงครามทั้งที่เวียดนาม และอิรัก แถมยังตัดบทบาทตนเองออกจากปัญหาซีเรีย และบัดนี้ ได้พ่ายแพ้อย่างหมดรูปที่อัฟกานิสถาน ก็อาจจะเป็นแนวทางให้หลายๆ ผู้นำประเทศหันไปไยดี และร่วมมือกับจีนและรัสเซีย และบอนไซสิทธิเสรีภาพต่างๆ แทนที่จะหวังพึ่งสหรัฐฯ อย่างแต่ก่อน
ทั้งหมดนี้ บรรดาผู้ที่ฝักใฝ่ในเรื่องเสรีประชาธิปไตยก็ต้องเผชิญและรับมือกับความน่าทึ่งของรัฐบาลพรรคเดียวแบบของจีนกับรัฐบาลผู้นำเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยอย่างรัสเซีย และแบบกลุ่มศาสนาครองเมือง และการต้องขับเคี่ยวต่อสู้กับกลุ่มอำนาจนิยมในประเทศของตนเอง ซึ่งทำให้สถานะและพลังของฝ่ายเสรีนิยมเต็มไปด้วยความท้าทายและภยันตราย
โดยประเทศเสรีนิยมเดี่ยวๆ จะพึ่งพาตนเองก็คงจะกระทำได้ในระดับหนึ่ง แต่การมีแนวร่วมกับฝ่ายเสรีประชาธิปไตยทั่วโลกก็เป็นเรื่องจำเป็น ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับสหรัฐอเมริกา ประเทศยุโรปตะวันตก และประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ จะประสานท่าทีแล้วเอาจริงเอาจังกันมากน้อยแค่ไหนในการต่อสู้และเอาชนะฝ่ายอำนาจนิยมและศาสนานิยมต่างๆ
บทเรียนอันหนึ่งที่สหรัฐอเมริกาและฝ่ายตะวันตกจะได้พึงตระหนักก็คือ การส่งกำลังทหารและการค้ำจุนรัฐบาลหนึ่งใด เพื่อต่อสู้กับภัยคอมมิวนิสต์ หรือภัยศาสนานิยมก็ดีนั้น ไม่เป็นการเพียงพอ หากมิได้ยึดโยงกับประชาชนให้มีความรักหวงแหนในเรื่องสิทธิเสรีภาพ และได้รับความยุติธรรม
เหตุการณ์ที่อัฟกานิสถาน ฝ่ายสหรัฐฯ และฝ่ายตะวันตกมุ่งที่การฝึกอาวุธและสนับสนุนทหารถึง 300,000 คน แต่มิได้มีการปลูกฝังความคิดอ่านและความเชื่อถือในเรื่องสิทธิเสรีภาพ และศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์อย่างเป็นชิ้นเป็นอัน อีกทั้งประชาชนพลเมืองได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของประเทศร่วมกันมากน้อยแค่ไหนในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่ดูเสมือนว่าเรื่องประชาธิปไตยในหมู่ข้าราชาการทุกประเภท ในหมู่ผู้นำชนเผ่า และในหมู่ของชาวอัฟกันโดยทั่วๆ ไปนั้น มิได้มีการให้โอกาสและการปลูกฝังพอสมควร
ในขณะที่ฝ่ายตาลิบันเขาสามารถบอกพรรคพวกตนเองได้ว่าเขาทำเพื่อศาสนา เขาทำเพื่อประเทศ และเขาทำเพื่อชาวอัฟกัน และเขาต่อต้านการครอบงำของฝ่ายสหรัฐฯ และฝ่ายยุโรปตะวันตก
นั่นคือจุดขายที่สำคัญของฝ่ายตาลิบัน แต่หากหลังจากไล่ต่างชาติออกไปจากประเทศได้แล้ว ตาลิบันจะหวนกลับไปใช้ความโหดร้ายในการปกครองประเทศ และกับประชาชนพลเมือง เหมือนเมื่อครั้งในอดีต เรื่องความขัดแย้ง และการนองเลือดในอัฟกานิสถานก็คงไม่จบ โดยเฉพาะเมื่อเอาคนอเมริกันและยุโรปออกไป แต่กลับเลือกที่จะหันไปซบใต้อาณัติของจีน รัสเซีย และปากีสถาน ก็จะทำให้สถานภาพของอัฟกานิสถานที่จะเป็นประเทศที่มีความเป็นเอกราชก็จะดูกระไรอยู่
อย่างไรก็ดี เมื่อตาลิบันกลับมาครองอัฟกานิสถานแล้วประเทศไทยเราก็ถึงเวลาที่จะต้องหันกลับมาทบทวนเรื่องประเด็นปัญหาที่ภาคใต้กันอย่างจริงจัง เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าแรงกระเพื่อมจะส่งมาถึงขนาดไหน โดยการทบทวนนี้ย่อมรวมไปถึงการปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยต่างๆ ทั้งชาวเล และชาวเขาต่างๆ อีกด้วยและในมุมกว้างเราก็ยังมีปัญหาเรื่องความเป็นประชาธิปไตยไม่ลงตัว ซึ่งการไม่ลงตัวนี้ก็จะเป็นช่องทางให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซง บ่อนทำลาย และครอบงำได้ ก็เป็นเรื่องที่เราทั้งหมดต้องหันหน้ามาจับเข่าพูดคุยกัน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี