การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลใน 2 วันที่ผ่านมา นายกฯรัฐมนตรี แม้จะมีข้อกล่าวหาที่รุนแรงจากทางฝ่ายค้าน แต่ก็ถือว่า เอาตัวรอดมาได้ และยังตอบคำถามได้ดีในหลายประเด็นรวมถึงท่าทีของนายกฯ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้สุขุมขึ้น ทั้งในมุมของอารมณ์ที่ไม่ฉุนเฉียวรุนแรง การตอบคำถามที่คมคายมากขึ้นนิ่งขึ้นนั้นไม่รู้ว่าเพราะนายกฯ ประยุทธ์ เริ่มเก๋าเกมการเมืองมากขึ้น? มีลูกล่อลูกชนมากขึ้น? หรือสิ่งที่ทำให้เกิดความมั่นใจคือข้อมูลในมือที่พกมาว่ายังไงแล้วตอบได้ทุกคำถาม รวมถึงการคุมเกมในสภาซีกรัฐบาลที่รอบนี้ดูจะไม่มีพรรคร่วมไหนมีท่าทีจะเกเรแตกแถวแต่อย่างใด หากจะมีก็อาจจะมีแต่ภายในพรรคหลักเองหรือไม่?
เมื่อดูข้อกล่าวหาจากฝ่ายค้าน สิ่งที่น่าจะเป็นประเด็นที่ตัดกำลังรัฐบาลไปมากคือเรื่องเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 จนถึงปัจจุบัน โดยผู้อภิปรายได้มีการหยิบยกประเด็นของข้อมูลการจัดอันดับต่างๆ ทั้งข้อมูลจาก Nikkei Recovery Index ที่ชี้ว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทยจากโควิดช้าที่สุดในโลก หรือกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงว่า เศรษฐกิจจะกลับมาโตในอัตราเดิมอีกครั้งในปี 2570 ตลอดจนตัวเลขการว่างงานที่สูงขึ้น เด็กจบใหม่ที่ยังหางานทำไม่ได้ มีราว 290,000 คน เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิดถึง 85,000 คน ฟังดูจากตัวเลขก็อาจเคลิ้มตาม เหมือนจะวิเคราะห์ได้ดี หากพลิกเอาอีกขั้วมาบริหารประเทศ น่าจะมีความหวัง แต่ฟังไปฟังมาที่ดูจะเป็นเรื่องจริงแต่เป็นเรื่องจริงด้านเดียวหรือไม่ ประหนึ่งโควิดเป็นอยู่ที่ประเทศไทยประเทศเดียวเหมือนตอนวิกฤตจากน้ำท่วมปี’54 ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยประเทศเดียวจนหลายคนพุ่งเป้าไปที่ศักยภาพผู้นำประเทศขณะนั้น
โควิดและผลกระทบจากโควิดเกิดขึ้นทั่วโลกแบบต่อเนื่องและยาวนาน ทั้งปัญหาก็หนักขึ้นตามกาลเวลาทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ตั้งแต่ผลกระทบทางสาธารณสุขจนมาถึงผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ การนำเข้า ส่งออก อันเกิดจากการจำกัดการเดินทางที่ส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายแรงงาน เคลื่อนย้ายทุน และทรัพยากรที่ต่างหยุดชะงักเหมือนกัน
ดังนั้นข้อมูลความถดถอยทางด้านเศรษฐกิจก็ต้องเปรียบเทียบกับต่างประเทศด้วยตัวอย่างเช่น อัตราการว่างงาน คงไม่มีใครเถียงว่าคนตกงานจากโควิดมีจำนวนมากจริง เพราะทุกที่ได้รับผลกระทบ บางที่ปิดเมืองเพื่อหยุดแพร่ระบาด บางที่ปิดกิจการเลย บางที่ปรับตัวลดต้นทุน แต่การหยุดกิจกรรมทางการผลิตชั่วคราวในบางช่วงเวลาเพราะเพื่อหยุดการแพร่เชื้อในช่วงรอบที่ระบาดมีความจำเป็น แต่นี่จะเป็นข้อสรุปว่าเกิดวิกฤตว่างงานหรือ? ต่างประเทศก็มีความหมายการว่างงานอย่างหนึ่งประเทศไทยก็มีความหมายการว่างงานอย่างหนึ่ง จึงต้องลงไปดูรายละเอียดเพราะการแก้ปัญหาจากการหยุดงาน ว่างงาน ว่างงานถาวร ต่างกัน การที่ไทยเลือกที่จะใช้กรณีของผู้มีงานทำแม้จะไม่เต็มวันก็ถือว่าไม่ตกงาน แต่ก็ไม่ใช่เหตุให้รัฐบาลอ้างและไม่แก้ปัญหา แต่การแก้ปัญหาต้องมองแยกส่วนตามปัญหาที่ต่างกัน การเหมาเข่งแก้ปัญหาต้องถามว่าเรามีรายได้และงบประมาณประเทศเท่าไรเพียงพอหรือไม่? และการประเมินปัญหาเพื่อหาทางแก้จึงไม่น่าจะไปดูที่ชั่วโมงการทำงาน แต่สิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลยคือรายรับหรือประสิทธิภาพจากการทำงานว่ามีรายรับมากเพียงใด ซึ่งในยุคปัจจุบัน เด็กยุคใหม่หลายคนก็ผันตัวเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น ตลาดสกุลเงินดิจิทัล หรือการหารายได้จากการทำช่องยูทูบ หรืออาชีพอิสระ ซึ่งก็สามารถสร้างรายได้มหาศาลในชั่วโมงการทำงานที่น้อยด้วย
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับชุดข้อมูลดังกล่าวว่ามีคนที่ตกงานจริง วิกฤตโควิดได้ทำให้เกิดสภาวะการว่างงานไม่ว่านิยามใดนี้ก็ไม่มีผู้นำประเทศ หรือรัฐบาลชุดใดอยากให้เกิด อย่างน้อยการว่างงานก็ทำให้การเก็บภาษีลดลงทั้งทางตรงคือรายได้ของประชาชนที่หดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือในทางอ้อมที่รัฐบาลก็ต้องลดเพดานภาษีบางอย่างลงเพื่อช่วยลดค่าครองชีพของประชาชนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ นำมาซึ่งปัญหาต่อเนื่องคือรัฐบาลจัดเก็บภาษีได้ไม่ตามเป้าและจำเป็นต้องจัดงบประมาณแบบขาดดุลโดยต้องมีการกู้เงินเพื่อสนับสนุนรายได้ของรัฐที่หายไป และต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องหาทางแก้ปัญหาให้ได้ไม่ว่าจะพบปัญหาอะไรเพียงแต่เราต้องทำความเข้าใจกับสภาพปัญหาจริงอย่างปราศจากอคติก่อน
อะไรที่ยังเป็นจุดอ่อนและอะไรที่ยังไปต่อได้
หากมองในมุมอื่นบ้างว่ามีอะไรในกลไกของจีดีพีที่กำลังกลับมาทำงานแล้วบ้าง อย่างกรณีของไทยเองตัวเลขการเติบโตด้านการส่งออกของไทยในไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี 2564 ก็กำลังกลับมาสู่สภาวะปกติและพุ่งทะยานอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้ช่วยฉุดค่าจีดีพีของประเทศให้พุ่งตามนัก แต่ก็ทำให้เศรษฐกิจไม่ได้ทรุดหนักมากนักในปี 2564 อย่างไรก็ตาม นี่คือช่องว่างแห่งโอกาสที่รัฐบาลควรจะต้องเร่งสปีดภาคอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก สำรวจอุปสรรคทั้งหมดและเร่งแก้ไข
นอกจากนี้ การพูดถึงระบบเศรษฐกิจก็ต้องบอกว่าสถิติระบบเดียวมาวัดทุกอย่างก็ไม่ได้ เหมือนเอาส้มมาเทียบทุเรียน ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรายได้สำคัญมาจากการท่องเที่ยว และเป็นจุดแข็งที่เราก็ต้องเดินจุดนี้ต่อไป เนื่องด้วยเอกลักษณ์ วัฒนธรรม สถานที่ต่างๆ ที่เป็นแต้มต่อในการดึงดูดรายได้ท่องเที่ยวมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค รวมถึงการนำมาซึ่งรายได้เม็ดเงินต่างๆ ในระยะยาวจะดีกว่าการเป็นประเทศเศรษฐกิจจากการรับจ้างผลิตให้บริษัทข้ามชาติที่สุดท้ายรายได้ที่เกิดขึ้นก็ต้องส่งกลับประเทศผู้ลงทุนอยู่ดี โควิดกระทบอย่างหนักต่อการท่องเที่ยวทั่วโลก
ดังนั้นหากเราเทียบประเทศที่มีรายได้หลักจากการท่องเที่ยวด้วยกันพบว่ารายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2562 ที่สถานการณ์ปกติ ไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวกว่า 2 ล้านล้านบาท วันนี้เหลือเพียงราว 1 แสนล้านบาท ภาคการท่องเที่ยวที่เคยมีขนาดใหญ่มีแรงงานในระบบมาก ก็ย่อมชะงักงันส่งผลต่อแรงงานในระบบ คนตกงานจากการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวหายไป 95% ตามการรายงานของ World Tourism Organization ว่าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกคือภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่งผลกระทบดังกล่าวยังส่งผลต่อแรงงานที่ทำงานอาชีพอิสระในอุตสาหกรรมนี้ ที่ได้รับผลกระทบและธุรกิจเกี่ยวเนื่องทั้ง เช่ารถ เช่าเรือ ช่างผม ช่างเสื้อ คนขายอาหาร ธุรกิจวัตถุดิบ ส่วนประกอบอาหาร ที่เป็นห่วงโซ่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งส่งผลให้วงจรธุรกิจท่องเที่ยวประสบปัญหาแตกต่างจากภาคอุตสาหกรรมอื่น
ดังนั้นจึงต้องเข้าใจตรงนี้ก่อนจึงค่อยมากวิเคราะห์ว่ารัฐบาลจัดการปัญหาเศรษฐกิจจากภาคการท่องเที่ยวเพียงพอต่อการคงอยู่ของธุรกิจและแรงงานในภาคท่องเที่ยวหรือไม่ หรือรัฐมีแนวนโยบายใดที่จะมาช่วยพยุงภาคธุรกิจและแรงงานภาคท่องเที่ยว ส่วนนี้คงต้องบอกว่ายังเป็นช่องว่างที่รัฐบาลควรจะลงไปแก้ปัญหาอย่างจริงจังมากกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ปัญหาโควิดส่งผลต่อจีดีพีของประเทศที่มีรายได้หลักจากการท่องเที่ยวเกือบทุกประเทศ
หากจะเทียบเคียงเพียงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้หลักจากการท่องเที่ยวด้วยกันก็จะเห็นได้ว่าจีดีพีของไทยในปี 2563 ก็ไม่ได้ตกต่ำเหมือนประเทศ อิตาลี สเปน และอังกฤษ ที่จีดีพีติดลบราว 10% เมื่อเฉลี่ยรวมกับปีนี้คือ 2564 ไทยก็ถือว่าไม่ได้แย่นักแม้จะโตไม่เกินร้อยละ 3 ก็ยังถือว่าภาพรวมไม่ได้แย่กว่าประเทศอื่นในกลุ่มท่องเที่ยว จนถึงกับจะล่มสลาย
การฟื้นตัวทางด้านเศรษฐกิจกำลังกลับมา ทั้งในเรื่องของการส่งออกที่พุ่งทะยาน และตัวเลขการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย โดย IMF ว่าแม้ในปี 2564 เศรษฐกิจจะไม่ได้โตขึ้นมากนักคืออยู่เพียง 3% แต่ในปี 2565 จะคือการกลับมาอย่างแท้จริงของเศรษฐกิจไทย หลังมาตรการป้องกันโควิดผ่อนคลายลงจากสถานการณ์ที่ดีขึ้น คาดการณ์ว่าจีดีพีของไทยจะโตอยู่ราว 6% ซึ่งสูงกว่าชาติท่องเที่ยวอื่นๆ อย่างสหรัฐ อิตาลี สเปน และญี่ปุ่น
ซึ่งรัฐบาลเองก็ต้องมองให้ถึงวันนั้น ด้วยการแก้ปัญหาจากการประเมินสถานการณ์อย่างแม่นยำและถูกต้อง แต่ต้องไม่ล่าช้าอย่างที่เป็นอยู่ ด้วยเสถียรภาพทางการเมืองที่คิดว่าแม้ว่าพรรคฝ่ายค้านจะมีการเขย่าเก้าอี้อย่างหนัก และมีการปลุกมวลชนนอกสภาจากฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลให้ออกมาขับไล่นายกฯ ก็ไม่ได้ส่งผลต่อเอกภาพของรัฐบาลด้วยพรรคร่วมรัฐบาลเองก็ยังไม่มีใครตัดช่องน้อยแต่พอตัวไปเสียก่อน
รวมถึงการอภิปรายครั้งนี้ที่ก็คาดว่าเมื่อมีการลงคะแนนก็จะสามารถผ่านได้ไม่ยากนัก เพียงแต่อาจมีคลื่นใต้น้ำในพรรคหลักเองหรือไม่? รวมถึงมีข่าวว่าจะให้โหวตแบบไม่มีธง เป็นฟรีโหวตจริงๆ ซึ่งต้องจับตาว่าเป็นเกมลวงลองใจหรือไม่? ให้จับตาการโหวตของสส.พรรคเล็กๆ ให้ดีว่าจะโหวตให้กับ รมต. ของพรรคหลักอย่างไร จะมีคะแนนการโหวตแตกต่างกันหรือไม่ จะตรงกับข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ไหมว่าจะมีการเขย่าเก้าอี้รมต.บางคนผ่านคะแนนโหวตเพื่อหวังกดดันนายกฯให้ปรับครม. ต้องติดตามว่านายกฯประยุทธ์จะแสดงอภินิหารอะไรให้เห็นหลังจากนี้อีกหรือไม่? เพราะด้วยความนิ่ง ความคมคายทางการเมืองที่เริ่มมากขึ้นก็ทำให้เห็นว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ในรัฐบาลนี้และจะจัดการลูกพรรคหลักให้ไม่เกเรแตกแถวได้ไหม ไม่ใช่แก้เกมหน้าบ้านดีแต่หลังบ้านโหว่
“แม้นับเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องสุดยอด แต่ในบางด้านก็กลายเป็นคนโง่เขลาได้”
(โกวเล้ง จาก ราศีดอกท้อ)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี