เสียงเรียกร้องของภาคประชาชน ให้รัฐบาลเร่งโปรเจกท์คลองไทยเชื่อม 2 ฝั่งมหาสมุทรในภาคใต้เข้าด้วยกัน เพื่อแก้ปัญหา เศรษฐกิจของประเทศ ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนตลอดไปนั้น ดูเหมือนว่าดังกระหึ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และกระจาย เป็นเครือข่าย ไปทั่วประเทศแล้ว
ดร.สุเมต สุวรรณพรหม กรรมการบริหารสมาคมชาวปักษ์ใต้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งติดตามขับเคลื่อนเรื่องสร้างคลองไทยมาอย่างต่อเนื่อง บอกกับผมอย่างนั้น
และว่าหลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาญัตติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากถึง 9 ญัตติ ที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลจนในที่สุด ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติ ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาการขุดคลองไทย และการพัฒนา พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2563
คณะกรรมาธิการคณะนี้ เดิมทีมี นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม เป็นตัวแทนของรัฐบาล และเป็นประธานคณะกรรมาธิการ แต่ต่อมา ก็ได้ลาออกไปที่ประชุม จึงแต่งตั้ง พลตรีทรงกลด ทิพย์รัตน์ หัวหน้าพรรคพลังชาติไทย เป็นประธานกรรมาธิการต่อไป โดยคณะกรรมาธิการได้มีการตั้งอนุกรรมาธิการขึ้นมา จำนวน 3 คณะ เพื่อช่วยกันทำการศึกษาและรวบรวมข้อมูล ที่เกี่ยวกับการขุดคลองไทยรวมถึงการพัฒนา ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ ประกอบด้วย คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษา การขุดคลองไทย ซึ่งมี พลตรีทรงกลด ทิพย์รัตน์เป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษา การพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้มี สส. พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน เป็นประธานและคณะอนุกรรมาธิการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม ความมั่นคง และการเมือง มี สส. สฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง เป็นประธานฯศึกษา
คณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ ได้ทำการศึกษา เรื่องการขุดคลองไทย และการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ มาเป็นระยะเวลา เกือบ 2 ปี
ขณะนี้ผลการศึกษาได้เสร็จเรียบร้อย และได้นำเสนอเป็นรายงาน ผลการศึกษา เข้าบรรจุ อยู่ในวาระการประชุม ของสภาผู้แทนราษฎรเรียบร้อยแล้ว ยังคงเหลือแต่เพียงว่า วิปรัฐบาลและวิปฝ่ายค้านจะเห็นพ้องต้องกัน เพื่อหยิบยกเลื่อนวาระการประชุมขึ้นมาพิจารณาให้ทันสมัยประชุมนี้ได้หรือไม่ แต่ก็ฝากไว้ว่าภาคประชาชนเขารอคอย ที่จะฟังรายงานผลการศึกษา เรื่องคลองไทย อย่างใจจดใจจ่อผมมีโอกาสได้อ่านสรุปรายงานผลการศึกษาคลองไทย ฉบับนี้แล้ว
โดยสรุปแล้วการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯพบว่า การขุดคลองไทยและการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้จะทำให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจของภาคใต้และประเทศไทยได้
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชนย่อมเกิดขึ้นได้ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯมีความเห็นว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะต้องมีการศึกษาเชิงลึกอย่างจริงจังและเป็นกลาง เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นกลางและเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด
ข้อมูลในรายงานน่าสนใจอย่างยิ่งคาดว่า ถ้าผ่านการประชุมของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ก็จะมีข้อเสนอและข้อสังเกต จากคณะกรรมาธิการฯ ที่จะเสนอไปให้รัฐบาลมากถึง 10 ข้อ เพื่อเสนอให้รัฐบาลดำเนินการต่อไป วันนี้เมื่อสภาผู้แทนราษฎร ยังไม่หยิบยกรายงานผลการศึกษาของไทยขึ้นมาอภิปรายพิจารณา จึงขอนำข้อมูลบางส่วน ใน 10 ข้อมาเล่าสู่กันฟังเพื่อลดความกดดัน ของประชาชนที่ติดตามความคืบหน้าเรื่องคลองไทย กันมาอย่างต่อเนื่องโดยสรุป
ข้อที่ 1 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ควรดำเนินการของบประมาณ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (feasibility Study)
ให้เพียงพอ ที่จะศึกษาให้ครอบคลุมทุกมิติทุกประเด็น เพื่อให้สามารถดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้อย่างเต็มรูปแบบ Fullfeasibility Study) ต่อไป
ข้อ 2 การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (feasibility Study) จะต้องศึกษาให้ครบถ้วน ทุกประเด็น ไม่ว่าประเด็นความมั่นคงระดับโลก ความมั่นคงภายในประเทศ แหล่งเงินทุนที่ควรมาจากหลายแหล่ง และต้องทราบถึงความต้องการ ของผู้มาใช้บริการผ่านคลองไทยด้วย ตลอดจนต้องมีการศึกษาขั้นสมบูรณ์อย่างละเอียดถี่ถ้วน
ข้อ 3 รัฐบาลควรประกาศให้การขุดคลองไทยและการพัฒนาพื้นที่ เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้เป็นวาระแห่งชาติซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติที่จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลา
ข้อ 4 ควรมีการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายและการขับเคลื่อนการขุดคลองไทยและการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ โดยมี นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขานุการ
ข้อ 5 รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณหรือหาแหล่งทุนเพื่อการศึกษาเชิงลึก ในการดำเนินงานในทุกมิติ ทั้งภาพรวมและเชิงพื้นที่ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนในมิติทางด้านสังคมและด้านอื่นๆ อีกด้วย อย่างไรก็ตามการที่จะพิจารณาศึกษาการขุดคลองไทย และการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษหลักการพิจารณาคือการคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ (National interest) เป็นเป้าหมายสูงสุด การศึกษาข้อมูลเบื้องต้น Pre-Feasibility Study)ทั้งด้านธรณีวิทยา ด้านวิศวกรรม ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านกฎหมาย และทำการศึกษาเปรียบเทียบความเหมาะสมในทุกด้านทุกมิติจะสามารถลดความเสี่ยงและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ที่สำคัญที่สุดคือ “มติมหาชน” ที่จะต้องสร้างการรับรู้อย่างรอบด้านสร้างการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและประชาพิจารณ์
ข้อ 6 ควรปรับรูปแบบ ในการดำเนินการ โดยกำหนดให้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงก่อนเช่นกรมเจ้าท่าหรือสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรเป็นหน่วยงานที่ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ เพื่อเสนอต่อรัฐบาลและให้สภาพัฒน์เป็นหน่วยงานกลั่นกรองก่อนที่รัฐบาลจะจัดพิจารณาอนุมัติโครงการก่อสร้างต่อไป
ข้อ 7 การขุดคลองไทยและการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ถือว่าเป็นการดำเนินงานโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ (Mega project) จะต้องดำเนินการด้วยกฎหมายพิเศษที่มีลักษณะแนวทางเดียวกับ พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561 (Eastern Economic corridor) หรือEEC โดยตราเป็นพระราชบัญญัติขึ้นมา โดยเฉพาะเพื่อดำเนินการ หากนำหน่วยงานขนาดเล็กมาดำเนินการย่อมไม่มีทางสำเร็จเพราะโครงการดังกล่าวเป็นการเชื่อมโยงการพัฒนาประเทศในทุกมิติทั้งด้านการท่องเที่ยว การเกษตรกรรม การขนส่งสินค้าและถือเป็นการสร้างศักยภาพในการแข่งขันกับนานาชาติ นอกจากนี้จะต้องมีการศึกษาให้รอบด้านอย่างแท้จริงและกำหนดขอบเขตการศึกษาอย่างชัดเจน
เรื่องผลการศึกษาคลองไทยของสภาผู้แทนราษฎร ยังคงเหลืออีก 3 ข้อคงขอเก็บไว้เขียนในตอนต่อไปและจะได้นำผลการศึกษาอย่างเป็นทางการที่วุฒิสภาเมื่อปี 2544-2548 ได้เคยมีรายงานผลการศึกษาคลองไทยสรุปส่งให้รัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร แต่คราวนั้นจบลงที่รัฐบาล ถูกปฏิวัติเสียก่อน ทำให้เรื่องสร้างคลองไทยไม่มีความคืบหน้ามาจนถึงปัจจุบัน
สุดท้าย ดร.สุเมต สุวรรณพรหมกรรมการบริหารสมาคมชาวปักษ์ใต้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งติดตามขับเคลื่อนเรื่องสร้างคลองไทย มาอย่างต่อเนื่อง กล่าวย้ำด้วยความมั่นใจว่า โครงการขุดคลองไทย จะได้สร้างกันในชาตินี้แน่นอนคงไม่ต้องรอกันจนถึงชาติหน้า
ท่านที่สนใจเรื่องเอกสารที่เกี่ยวกับคลองไทย เพิ่มเติมก็ติดต่อไปที่ ไอดีไลน์และโทร.081-1103939
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี