เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ฝ่ายตาลิบันสามารถยึดกรุงคาบูล เมืองหลวงของประเทศอัฟกานิสถานได้อย่างง่ายดาย จัดได้ว่าเป็นการได้รับชัยชนะเหนือฝ่ายกองทัพรัฐบาลเดิม ที่ได้รับการหนุนจากสหรัฐอเมริกา และประเทศพันธมิตรองค์การนาโต อย่างรวดเร็วชนิดเกินความคาดหมาย
มาบัดนี้ ฝ่ายตาลิบันได้ขึ้นครองอำนาจ และกำลังจัดตั้งรัฐบาลเพื่อบริหารประเทศอัฟกานิสถานให้สง่างาม ยิ่งยง และยิ่งใหญ่ แถมยังประกาศว่า เป็นผู้ทำให้อัฟกานิสถานมีอิสรภาพ เป็นอิสรเสรีจากการครอบงำ และอิทธิพลของฝ่ายตะวันตกนำโดยสหรัฐอเมริกาซึ่งหมายความว่าอัฟกานิสถานกำลังจะมีความเป็นตัวของตัวเอง และสามารถกำหนดชะตาชีวิตของตนเองภายใต้การนำพาของตาลิบันขุนศึกมุสลิม ที่จะบริหารประเทศด้วยการใช้หลักศาสนาเป็นตัวนำ
วิถีชีวิตของประชาชนพลเมืองของชาวอัฟกันก็คงไม่ต่างไปจากที่ถูกคาดกันเอาไว้ โดยโลกน่าจะได้เห็นประเทศที่ใช้ศาสนา (อิสลาม) นำการเมืองเป็นประเทศที่ 2 ต่อจากอิหร่าน จะต่างก็แค่อิหร่านนำด้วยนิกายชีอะห์ ในขณะที่อัฟกานิสถานนำด้วยนิกายซุนนี่ ซึ่งหลังจากนี้ทั้งสองประเทศจะมีความข้องแวะกันอย่างไรนั้น
ก็ยังเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามดูกันต่อไป
แต่เฉพาะหน้านี้ ฝ่ายตาลิบันกำลังเริงร่ากับความสำเร็จอันใหญ่หลวงดังกล่าว ซึ่งผลงานการสู้รบ และต่อต้านการรุกรานของต่างชาตินั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อต้องเข้ามารับผิดชอบบริหารประเทศก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อการบริหารประเทศนั้นมีเรื่องของความสำคัญระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ว่าจะเลือกดำเนินความสัมพันธ์อย่างไร และจะรับเงื่อนไขของต่างประเทศได้มากน้อยแค่ไหน
กล่าวคือ หลายๆ ประเทศในโลกต่างไม่ต้องการให้อัฟกานิสถานทำตนเป็นแหล่งส่งออกผู้ก่อการร้าย หรือเป็นแหล่งปฏิบัติการของพวกศาสนานิยมหัวรุนแรง ตาลิบันก็คงเลือกที่จะดำเนินแนวทางดังกล่าวไปก่อน เพื่อแลกกับความสัมพันธ์ และการรับรองจากนานาชาติ โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือทางด้านการพัฒนาต่างๆ ซึ่งเงื่อนไขนี้ก็คงไม่จำกัดอยู่ที่กลุ่มประเทศตะวันตกเท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึงรัสเซีย และจีน ที่ต่างได้ประโยชน์จากการที่ฝ่ายตะวันตก (นำโดยสหรัฐอเมริกา) ได้ล้มหายตายไปจากพื้นแผ่นดินอัฟกานิสถาน
นอกจากนั้น ทั้งสองประเทศต่างมีชนกลุ่มน้อยที่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งก็คงไม่อยากให้อัฟกานิสถานกลับไปเป็นแหล่งส่งออกความคิดรุนแรงทางศาสนาเข้ามาสู่ประเทศของตน โดยจะเป็นเงื่อนไขที่ทั้งสองประเทศจะต้องตกลงกับฝ่ายรัฐบาลตาลิบันอัฟกานิสถานให้ได้ เพื่อความมั่นคงปลอดภัยของตนเองเช่นกัน
นั่นคือเงื่อนไขแรงกดดันจากภายนอกต่อฝ่ายรัฐบาลตาลิบันซึ่งฝ่ายรัฐบาลตาลิบันก็ไม่พ้นที่จะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากภายในเช่นกัน โดยเฉพาะจากฝ่ายสุดโต่งของตนเอง บวกกับกลุ่มอัลเคดะห์ และกลุ่มไอเอสเค ที่ต้องการจะให้อัฟกานิสถานกลายเป็นรัฐอิสลามอย่างสมบูรณ์เบ็ดเสร็จ อันได้แก่การใช้หลักศาสนาแบบสุดโต่ง หรือถึงพริกถึงขิง เช่น การจำกัดบทบาทของสตรีในเรื่องการเข้าถึงซึ่งการศึกษา และการมีอาชีพที่บ่งบอกความเป็นตัวของตัวเอง ไปจนถึงการลงโทษด้วยการทำร้ายร่างกาย หรือการประหารชีวิตแบบที่โลกเขาไม่ทำกัน และไม่ยอมรับอีกแล้ว เป็นต้น
ซึ่งก็หมายความว่า ฝ่ายรัฐบาลตาลิบันนั้นตกอยู่ในสภาวะของการถูกกดดันจากทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งต้องประคองตัวอยู่ระหว่างแนวคิดของการบริหารราชการบ้านเมืองด้วยหลักสากลกับการบริหารราชการด้วยหลักศาสนาแบบสุดโต่ง กล่าวได้ว่ารัฐบาลตาลิบันกำลังอยู่ระหว่างเขาควาย ตกอยู่ในที่นั่ง “เสือลำบาก”เพราะหากรัฐบาลตาลิบันเลือกที่จะสมานฉันท์กับพวกสุดโต่ง ด้วยการจำกัดจำเขี่ยสิทธิสตรี ทรัพย์สินเงินทองของประเทศอัฟกานิสถานที่ฝากไว้ในบัญชีธนาคารของฝ่ายตะวันตกก็จะยังถูกแช่แข็งไว้ รวมทั้งเงินช่วยเหลือต่างๆ ก็จะไม่มีมา การทำมาค้าขายกับต่างประเทศก็จะไม่เกิดขึ้น แถมรัสเซียและจีนเองก็จะถูกประชาคมโลกประณามถ้าเห็นดีเห็นงามกับการจำกัดสิทธิสตรี
แต่หากจะหันไปยอมรับสิทธิสตรีบางประการ เพื่อแลกกับความช่วยเหลือ ก็คงไม่พ้นที่รัฐบาลตาลิบันจะถูกมองจากคนข้างในกลุ่มว่า ยอมอ่อนข้อให้กับฝ่ายตะวันตก ย่อมส่งผลให้เกิดรอยร้าวในกลุ่มอำนาจของตาลิบันเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และการคัดค้านจากฝ่ายหัวรุนแรงกลุ่มต่างๆ ดังกล่าวจะตามมา และอาจจะนำไปสู่การใช้ความรุนแรงจนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามกลางเมืองระหว่างพวกมุสลิมด้วยกันเอง
นอกจากนั้นฝ่ายรัฐบาลตาลิบันยังมีปัญหาภายนอกประเทศอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือการที่ฝ่ายตาลิบันในภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถาน มีความต้องการที่จะแยกดินแดนออกจากปากีสถานเพื่อมารวมกับอัฟกานิสถาน(ที่บริหารโดยรัฐบาลตาลิบัน) ซึ่งไม่พ้นที่จะเป็นสาเหตุแห่งความขัดแย้งระหว่างอัฟกานิสถานกับปากีสถาน และพัฒนาจนกลายเป็นศึกสงครามคู่ใหม่
ฉะนั้น การบริหารประเทศของรัฐบาลตาลิบันในวันนี้ ที่มีเงื่อนไขจากปัจจัยภายใน และภายนอกประเทศดังกล่าว จึงไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย โดยฝ่ายรัฐบาลตาลิบันจะต้องใช้ทั้งพลังอำนาจทางการทหารควบคู่ไปกับการเจรจาต่อรองกับฝ่ายหัวรุนแรงสุดโต่งทั้งหลาย เพื่อประคับประคองสถานการณ์ของประเทศไปให้ได้ในช่วงต้น
ทั้งนี้ที่ผ่านมา โลกได้มีบทเรียนแล้วว่า หากการใช้ศาสนาเป็นหลักและเป็นเครื่องมือทางการเมือง ก็จะส่งผลให้ประเด็นปัญหาต่างๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น ในกรณีของอิหร่าน ซึ่งหากดูอย่างผิวเผิน ก็จะเห็นว่าฝ่ายศาสนานิยมคุมอำนาจรัฐอย่างเด็ดขาดเบ็ดเสร็จ แต่เมื่อพิจารณาในแง่ลึกแล้ว มันเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพและการปฏิเสธการยอมรับซึ่งความต่างในความคิดเห็น ซึ่งคลื่นใต้น้ำของการปลดแอกจากการครอบงำของศาสนา และกลุ่มผู้นำศาสนาที่เข้ายึดอำนาจรัฐ หรือกิจการทางการเมือง จึงมีอยู่ตลอดเวลา สะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์นั้นต้องการสิทธิเสรีภาพ และมิประสงค์ให้ผู้ใดหรือกลุ่มใดมีสิทธิและอำนาจเด็ดขาดในการตีความและชี้นำคำสั่งสอนของผู้ก่อตั้งศาสนา
มันเป็นความย้อนแย้งที่บรรดากลุ่มผู้นำทางศาสนาสามารถดำรงอยู่ได้ ก็เพราะการกดขี่ และสร้างอาณาจักรแห่งความกลัวให้กับสังคม ซึ่งสวนทางกับคำสั่งสอนใดๆ ของบรรดาศาสนาต่างๆ ที่เป็นไปในแนวทางเดียวกันว่า ผู้ปกครองจะต้องดำรงอยู่ด้วยเมตตาธรรมการอ้างศาสนาเพื่อกดขี่ประชาชนจึงถือเป็นการละเมิดคำสั่งสอน และเป็นการสุมไฟการแตกแยกในสังคมโดยใช่เหตุ
ความเจ็บปวดตลอด 20 ปีที่ผ่านมาของตาลิบัน น่าจะทำให้รัฐบาลตาลิบันได้ตระหนักในบทเรียนดังกล่าวแล้ว และก็เป็นที่หวังกันว่า รัฐบาลตาลิบันจะเลือกบริหารประเทศด้วยการใช้ความผาสุกของประชาชนพลเมืองเป็นที่ตั้ง โดยมิยอมโอนอ่อนต่อคำเรียกร้องของกลุ่มสุดโต่งหัวรุนแรงทั้งหลาย และจะต้องคำนึงว่า ในยุคสมัยนี้ อำนาจนิยมต่างๆ ถือเป็นสิ่งที่ถ่วงความเจริญก้าวหน้า และเป็นการทำร้ายประชาชนพลเมืองของตนเอง ซึ่งหากยังใช้อำนาจกดขี่เช่นครั้งก่อนที่ขึ้นมาเรืองอำนาจ การต่อต้านจากสังคมก็จะเกิดขึ้นอยู่ทุกขณะ แถมโลกก็ไม่เอาด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ฝ่ายรัฐบาลตาลิบันถึงไปเลือกแนวทางสุดโต่งมาบริหารประเทศ ซึ่งเป็นการต้อนตนเองเข้ามุมให้กลายเป็นเสือลำบากไปทำไม? ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าก็ลำบากกันมาแทบตาย เพื่อจะมีชัยชนะในการรบเหนือฝ่ายตะวันตก แถมยังมีแนวทางสายกลางที่สะดวกสบายกว่าให้เลือกใช้ประคองประเทศอัฟกานิสถานต่อไปได้
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี