จบการอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามมาตรา 151 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ที่นักการเมืองฝ่ายค้านเพียรพยายามดึง “โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19)” และ “วัคซีน” ให้เป็นเรื่องของการเมือง มีการนำข้อมูลเท็จมาอภิปรายในที่ประชุมสภา และให้ประชาชนทั่วไปที่รับฟังการอภิปรายไขว้เขวในหลายเรื่อง
ประเด็นการไม่เข้าร่วม COVAX ที่นักการเมืองชังชาติอ้างว่าทำให้ประชาชนคนไทยเสียโอกาสที่จะได้รับ “วัคซีน”โดยเร็ว และเป็นวัคซีนหลากหลายชนิด ทว่าข้อเท็จจริงปรากฏว่าหลายประเทศเข้าร่วมโครงการกลับร้องระงม มีหลายประเทศทั้งในและนอกกลุ่มอาเซียน ที่ประจักษ์ว่ารัฐบาลตัดสินใจผิดพลาดครั้งสำคัญ ที่เข้าร่วมโครงการ COVAX กับ WHO และเสี่ยงยอมชำระเงินค่าวัคซีนโควิดไปก่อนจำนวนมหาศาล โดยยังไม่เห็นผลิตภัณฑ์ที่กำหนดยี่ห้อเองไม่ได้ และไม่ทราบกำหนดเวลาส่งวัคซีนที่แน่นอน เช่น มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม หรือ แม้แต่ไต้หวัน ฯลฯ ณ เวลานี้หลายประเทศเพิ่งรู้ตัวว่า “โดนต้มจนเปื่อย” เพราะ COVAX ไม่สามารถจัดส่งวัคซีนลอตใหญ่ให้ประเทศใดได้เลย เนื่องจากบรรดาประเทศที่มีโรงงานผลิตวัคซีนโควิดเอง ก็ต่างชะลอการส่งออกให้ COVAX โดยเฉพาะ สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, รัสเซีย, อินเดีย, ไทย, เกาหลีไต้ ฯลฯ เพราะต้องเก็บไว้ใช้สำหรับประชากรของตนเองก่อน
ในขณะที่สยามไบโอไซเอนซ์ ของไทยเนื้อหอมพูกรุมตอมขอซื้อวัคซีน ขณะที่ส่วนของจีนนั้นปรากฏว่าไม่มีการระบาดของโรคโควิด-19 ผู้ติดเชื้อในประเทศเป็นศูนย์นานกว่า 1 ปีแล้ว จึงสามารถส่งออกวัคซีนเชื้อตาย “โคโรนาวัคซีน” แบ่งปันกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะที่เป็นพันธมิตรต่อกันได้บ้าง แต่ก็ยังไม่เพียงพอความต้องการของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ไม่มีโรงงานผลิตวัคซีนของตนเอง
ล่าสุดรัฐบาลประเทศที่เข้าร่วมโครงการ COVAX ต้องตัดสินใจสละทิ้งเงินที่จ่ายไปมหาศาล แล้วหันหลังกลับมานับหนึ่งเริ่มติดต่อขอซื้อตรงกับโรงงานผลิตวัคซีนประเทศต่างๆ เช่นไทย อินเดีย ฯลฯ แต่อินเดียมีการระบาดโรคโควิดหนักมากมีผู้เสียชีวิตวันละกว่า 6,000 ราย จึงของดและชะลอส่งวัคซีนฯ ให้กับโครงการ COVAX และประเทศต่างๆ ไปก่อน
ล่าสุดของล่าสุดพบว่ามีข้อสงสัยจากนักการเมืองชังชาติอีกครั้งว่า ทำไมรัฐบาลไทยยังสั่ง “โคโรนาวัคซีน หรือ วัคซีนซิโนแวค” เข้ามาฉีดให้ประชาชนคนไทยอีก ทั้งที่แพทย์อาวุโสผู้ทรงคุณวุฒิ พยายามตอกย้ำความจำเป็นและสำคัญในการใช้ “วัคซีนเชื้อตายซิโนแวค”ใน 2 ประเด็น อย่างแรกเพื่อใช้ฉีดให้เด็กกลุ่มตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป แต่การใช้ “วัคซีน mRNA” จะยี่ห้อไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา”ตามข้อเรียกร้องของนักการเมืองของคนบางกลุ่มบางองค์กรนั้น ด้วยผลข้างเคียงหลังรับวัคซีนชนิด mRNA ในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น ที่ข้อมูลในต่างประเทศพบเรื่องของกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ หรือระบบหัวใจ เกิดขึ้นค่อนข้างเด่นกว่ากลุ่มอายุอื่น แม้เกิดขึ้นไม่มาก แต่มีความอันตรายมาก หากเราคิดถึงความปลอดภัยเป็นหลัก เราน่าจะฉีดวัคซีนเชื้อตายตามข้อเสนอของ “หมอดื้อ - ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ประเด็นต่อมาคือการใช้ “โคโรนาวัคซีน”ในการฉีดวัคซีนโควิด-19 สูตรไขว้ตามงานวิจัยของ “ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขากุมารเวชศาสตร์ โรคทางเดินอาหาร นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ
สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ ราชบัณฑิตและหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การฉีดวัคซีนสูตรไขว้ไม่ใช่เรื่องเบิกเนตรหรือเบี่ยงเบนการบริหารการจัดหาวัคซีนของรัฐบาลทหารแก่ แต่กลายเป็นความเชื่อถือของวงการแพทย์ทั่วโลกไปแล้ว นักการเมืองชังชาติ บุคคลและองค์กรบางแห่งที่รัฐบาลจีนเฝ้าติดตามการด้อยค่า“โคโรนาวัคซีน”ควรหยุดการกระทำที่จะสร้างความแตกแยกความสัมพันธ์ระหว่างพันธมิตร หยุดดูดกลืนน้ำมูกเสลด เพราะคิดว่าเป็น “ลอดช่อง” ได้แล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี