พอจบอภิปรายไม่ไว้วางใจก็เตรียมจะมีการแก้รัฐธรรมนูญต่อ แต่ดูเหมือนกลไกความสัมพันธ์และความขัดแย้งทางการเมืองดูจะแปลกไปทั้งจากภายในและระหว่างซีกรัฐบาลและฝ่ายค้าน ตั้งแต่ช่วงอภิอปรายไม่ไว้วางใจมาแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
แม้คะแนนในซีกพรรคร่วมรัฐบาลยังเหนียวแน่น แต่ข้างในจริงๆเป็นอย่างไรก็ยังระบุชัดไม่ได้ แต่ที่แน่ๆตอนนี้มีประเด็นใหม่ที่น่าสนใจซึ่งอาจทำให้เกิดรอยร้าวในรัฐบาลหรือไม่ นั่นคือ เรื่องการเสนอปรับระบบการเลือกตั้งจากบัตร 1 ใบ กลับไปเป็นแบบบัตร 2 ใบ คือเลือก สส.เขต และเลือกบัญชีรายชื่อพรรคการเมือง ซึ่งวิเคราะห์จากผลการเลือกตั้งปี’50 และ’54 ก็จะเห็นว่ามีผลกระทบโดยตรงต่อจำนวนที่นั่งของ สส. ที่แต่ละพรรคได้ ซึ่งในครั้งนี้ ก็มีกระแสข่าวว่าจะมีการจับมือระหว่างพรรคเพื่อไทย และพรรคพลังประชารัฐในการสนับสนุนเรื่องนี้ให้ผ่าน เนื่องจากพรรคใหญ่ทั้งสองก็มองแล้วว่าเรื่องนี้เป็นประโยชน์ จากฝั่งเพื่อไทยเอง การเลือกตั้งแบบ1 บัตร ในครั้งที่ผ่านมาได้สร้างความเสียหายให้แก่พรรคเพื่อไทยอย่างมาก เพราะแม้จะมี สส. เขต มาเป็นอันดับ 1 ของประเทศ แต่ สส. บัญชีรายชื่อไม่ได้เลยและทำให้สูญเสียความเข้มแข็งของพรรคไปด้วย
ซึ่งก็ไม่รู้ว่านอกจากปัจจัยเรื่องการเลือกตั้งแล้ว ปัจจัยภายในเองจะเป็นเร่งเร้าให้เพื่อไทยเองแตกด้วยหรือไม่?
เพราะจากการที่บิ๊กบอส ไม่ได้ชี้ให้ใครนำทัพอย่างเด็ดขาดก็ทำให้เกิดความขัดแย้งตามมา และส่งผลให้มีหลายคนเลือกเดินออกจาเพื่อไทยไปในที่สุด ซึ่งคาดการณ์ว่าเรื่องการกลับไปใช้บัตรสองใบ เพื่อไทยก็เห็นถึงประโยชน์ว่านี่อาจเป็นโอกาสในการกลับมายืนเป็นพรรคใหญ่ ที่พร้อมจัดตั้งรัฐบาลได้อีกครั้ง ในมุมตรงข้ามพลังประชารัฐที่หลายคนมองว่าได้ประโยชน์จากระบบบัตรใบเดียวในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่กลับเป็นผู้ร่วมผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญในเรื่องวิธีการเลือกตั้ง ซึ่งทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าพลังประชารัฐเปลี่ยนไปแล้วหรือ? แต่หากวิเคราะห์แนวทางให้ดีจะเห็นว่าพลังประชารัฐเองมีความแข็งแกร่งในพื้นที่ระดับเขตเลือกตั้งมากขึ้นจากการเลือกตั้งในปี 2562 สังเกตจากการเลือกตั้งซ่อมที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ไม่ว่าจะในถิ่นพลังประชารัฐ ถิ่นเพื่อไทย หรือถิ่นพรรคร่วมก็ตาม พลังประชารัฐก็สามารถกวาดที่นั่งเพิ่มได้อย่างต่อเนื่อง ยังไม่รวมพลังงูเห่าฝากเลี้ยงในหลายพรรคก็ต่างเป็น สส. เขตทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็พอเข้าใจได้ว่า วันนี้พรรคพลังประชารัฐไม่ใช่พรรคเกิดใหม่อีกแล้ว แต่เป็นพรรคที่มีความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งแล้ว ซึ่งพรรคอาจมองว่าหากใช้ระบบบัตรใบเดียวแบบเดิม พรรคอาจสูญเสียสส.บัญชีรายชื่อไปก็ได้
นอกจากนี้การเลือกตั้งท้องถิ่นที่ผ่านมาทั้งสองครั้งพบว่าพรรคใหญ่สองพรรคอย่างพลังประชารัฐและเพื่อไทยเท่านั้นที่กวาดที่นั่งกันไปเกือบหมดกระดานปล่อยให้พรรคอื่นได้ไปเพียงบางพื้นที่เท่านั้น พรรคกลาง พรรคเล็ก หรือแม้แต่คณะก้าวหน้าก็แพ้ให้กับสองพรรคใหญ่ที่แบ่งพื้นที่ได้แทบจะไม่ชนกันเลย
การผลักดันเรื่องดังกล่าวก็ทำให้เกิดความไม่พอใจต่อพรรคขนาดกลาง และขนาดเล็กที่จะสูญเสียที่นั่งอย่างแน่นอนหากเปลี่ยนระบบเลือกตั้ง ซึ่งก็กระทบต่อพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคภูมิใจไทยที่ประกาศชัดเจนว่าไม่เอาระบบบัตรเลือกตั้งสองใบ กับพรรคขนาดเล็กแบบรวมพลังประชาชาติไทยที่มี สส. 5 ที่นั่ง ก็คาดว่าจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้เช่นกัน ซึ่งหากเรื่องนี้ผ่านขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าพรรคร่วมรัฐบาลที่เสียประโยชน์จะนำเรื่องดังกล่าวมาเป็นประเด็นจนทำให้เสถียรภาพทางการเมืองระส่ำระสายหรือไม่?
ขณะที่พรรคร่วมฝ่ายค้านที่ออกมาค้านสุดตัวคือพรรคก้าวไกล ที่ออกมาปฏิเสธระบบบัตรเลือกตั้งสองใบ โดยให้เหตุผลว่าระบบเลือกตั้งที่ผู้ชนะได้ทั้งหมด อาจไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงของเขตเลือกตั้ง และทำให้เสียงของประชาชนที่เลือกพรรคอันดับ 2 และ 3 ตกน้ำอย่างไร้ความหมาย แต่นัยภายใต้การค้านสุดตัวนั้น ก็มีหลายคนมองว่าแม้ก้าวไกลจะบอกว่ารัฐธรรมนูญปี’60 เป็นฉบับที่ไม่ดี แต่ระบบการเลือกตั้งทำให้พรรคอนาคตใหม่ได้ที่นั่งมาเป็นอันดับ 3 สูงกว่าพรรคเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์ด้วยซ้ำ จึงไม่แปลกว่าจะชอบระบบการเลือกตั้งดังกล่าวเพราะจะทำให้ก้าวไกลได้ที่นั่งเกินกว่าเขตเลือกตั้งที่ได้
ขณะที่ก็มีพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคชาติไทยพัฒนาก็ออกมาแสดงจุดยืนสนับสนุนเต็มที่ แม้จะเป็นพรรคขนาดเล็กก็ตาม โดยให้เหตุผลว่าระบบการเลือกตั้งแบบัตรสองใบเป็นผลมาจากนโยบายของพรรคในอดีต ที่ต้องการปักธงการพัฒนาประชาธิปไตยในไทย ผ่านการร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน การปรับเปลี่ยนในครั้งนี้จึงมองว่าเป็นการพัฒนาประชาธิปไตยให้กลับไปสมบูรณ์เหมือนที่เคย ขณะที่ฝั่งประชาธิปัตย์ แม้จะไม่ได้ออกหน้ามากนักในเรื่องนี้ แต่ก็คิดว่าคงเอาด้วยอยู่แล้วด้วยปัจจัย 2 ประการ คือประชาธิปัตย์อาจได้ที่นั่งเพิ่มจากบัตรเลือกตั้งสองใบ ซึ่งสามารถเปรียบเทียบได้กับในการเลือกตั้งที่ผ่านๆมา ประการที่สอง เงื่อนไขในการเข้าร่วมพรรคร่วมรัฐบาลอย่างหนึ่งของประชาธิปัตย์คือการมุ่งแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ผ่านมาการแก้แบบทั้งฉบับก็ตกไปไม่สามารถทำได้ จนมาถึงการแก้รายมาตราในครั้งนี้ประชาธิปัตย์เองก็อาจยึดถือว่านี้คือก้าวแรกในการแก้รัฐธรรมนูญด้วยก็เป็นได้ ซึ่งก็เป็นคำตอบสำหรับผู้สนับสนุนพรรคได้ว่าการเข้าร่วมกับพลังประชารัฐครั้งนี้ไม่เสียเปล่า และไม่ได้ทำให้อุดมการณ์ประชาธิปไตยของพรรคอ่อนแอลง
การขยับของพรรคพลังประชารัฐในเรื่องที่ละเอียดอ่อนและกระทบถึงความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ก็ส่อเค้าถึงการเลือกตั้งที่อาจเกิดเร็วขึ้นจากการคาดการณ์ว่าจะมีการยุบสภาในช่วงปีหน้า แต่ก็อาจเร็วขึ้นได้หรือไม่ หากพรรคร่วมแตกคอ โดยเฉพาะภูมิใจไทยที่หากไม่ร่วมรัฐบาลก็ทำให้เสียงไม่พอจะบริหารราชการแผ่นดิน หรือจะทำหน้าที่รัฐบาลเสียงข้างน้อย หรือพลังประชารัฐพร้อมแล้วสำหรับการเลือกตั้งก็ดูจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะจากศึกในที่มีการพูดถึงในห้วงของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่าจะมีการเปลี่ยนตัวนายกฯ และเขย่าเก้าอี้ ครม. เพื่อเคลียทางให้คนในพัลงประชารัฐกันเอง แม้จะจบที่ว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะทำอะไรนายกฯไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องนี้ไม่มีมูล เพียงแต่จังหวะยังไม่เป็นใจหรือไม่?และหากมีการเลือกตั้งใหม่ล้างไพ่ล้างกระดาน ก็อาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งก็เป็นได้ ประกอบกับพรรคร่วมฝ่ายค้านเองก็ยังไม่ลงรอยกันอยู่ดีก็อาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการชิงยุบสภาเพื่อเริ่มใหม่หรือไม่?
ที่สุดแล้วต้องดูว่าการเมืองภายในพลังประชารัฐพร้อมและลงตัวกันแล้วหรือยัง หรือมีการดึงสส.พรรคอื่นเข้าร่วมได้เรียบร้อยหรือไม่? เพราะก่อนหน้านี้การที่ทางพรรคพลังประชารัฐมีการแต่งตั้งร้อยเอกธรรมนัสเป็นพ่อบ้าน ทีแรกก็ถูกมองว่าการเลือกได้ใกล้เข้ามาแล้ว เพราะร้อยเอกธรรมนัสเคยอยู่สังกัดพรรคเพื่อไทยมาก่อน จึงมีสายสัมพันธ์อันดีกับแกนนำของทางฝั่งเพื่อไทย จะมีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่ที่จะได้เห็นการจับมือกันของพรรคต่างขั้ว หรืออาจมีการดูดสส.จากพรรคเพื่อไทยเพื่อเสริมแกร่งและเป็นการตัดกำลังคู่แข่งไปในตัว แต่จากกระแสความขัดแย้งภายในล่าสุดเมื่อตอนอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ไม่รู้ว่าแนวคิดของหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐจะเป็นเช่นเดิมหรือไม่ ส่วนเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อปูทางการเลือกตั้งที่แม้จะเคลียกันลงตัวในพรรครัฐบาล การลงมติแก้รัฐธรรมนูญก็ยังต้องพึ่งเสียง สว. อีก 1 ใน 3 อยู่ดีซึ่งที่ผ่านมาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เป็นแผลใจของ สว. อยู่แล้วจึงต้องติดตามว่าจะผ่านหรือไม่?
เอาเข้าจริง การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่นั้น ยังมีปัจจัยหลายด้านเป็นตัวกำหนด ซึ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดวันเลือกตั้ง อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือการเคลื่อนไหวนอกสภาของกลุ่มกดดันทางการเมือง
หากรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ต้องการที่รักษาเสถียรภาพ เพื่อที่จะไปต่อหรือปูทางสู่การเลือกตั้งแบบมีแต้มต่อ ทางรอดหนึ่งนั้นคือ การควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ระลอกที่ 4 ให้ได้ และต้องเดินหน้าเปิดประเทศ ภายในเดือนตุลาคมให้สำเร็จตามที่ตนเองได้ลั่นวาจาเอาไว้หรือเร็วที่สุด เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างมาก แต่หากไม่เป็นเช่นนั้นก็มีโอกาสที่เสถียรภาพของทางรัฐบาลจะยังคงสั่นคลอนต่อไปเรื่อยๆจนถึงเลือกตั้ง แต่ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น ผลลัพธ์ที่ออกมาก็อาจเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง และอาจส่งผลให้การเลือกตั้งเกิดเร็วขึ้นกว่าเดิม
“ความหมายของชีวิตที่จริงก็คือ
มานะพยายามต่อสู้ด้วยความเข้มแข็ง”
(โกวเล้ง จากราศีดอกท้อ)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี