ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์ ก็ได้เชิญหัวหน้าพรรคร่วมมาพูดคุยเพื่อเคลียร์ใจอะไรหรือไม่ แต่ที่สำคัญได้ยืนยันว่า อีกปีกว่าๆ จึงจะเลือกตั้ง อะไรที่ทำให้พลเอกประยุทธ์มั่นใจมากขนาดนี้ ทั้งที่สถานการณ์ก่อนหน้าอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อสองสัปดาห์ก่อนทั้งภายในพรรค ทั้งระหว่างพรรคร่วม และระหว่างฝ่ายค้าน รวมถึงกระแสจากประชาชน เกิดอะไรขึ้นที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป?
ข่าวใหญ่ในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจในช่วงสองวันแรกนำมาซึ่งสิ่งที่ไม่เคยมีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น นั่นคือข่าวเลื่อยเก้าอี้นายกฯ จากภายในพรรคพลังประชารัฐเอง ที่น่าจะสนใจและมีน้ำหนักเพราะมาคู่กับข่าวการแตกกันของ 3 ป. และข่าวการร่วมมือกับพรรคฝ่ายค้าน
อย่างไรก็ตาม นายกฯก็สามารถพลิกเกมจัดการปัญหาภายในจนผ่านพ้นการอภิปรายฯ มาได้ แต่ไม่จบจริง เพราะเมื่อพิจารณาคะแนนไว้วางใจนายกรัฐมนตรีก็มาเป็นรองอันดับสุดท้าย หรือรองบ๊วย จาก รมว.แรงงาน ซึ่งก็ทำให้มีการพูดถึงว่า ในรัฐบาลแม้จะโหวตให้ผ่าน แต่คะแนนนิยมและความน่าเชื่อถือของนายกฯลดลงมาก หากวัดจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่แล้ว ซึ่งตรงนี้เป็นความจงใจของใครหรือไม่? โดยเฉพาะคำถามว่าใครคุมพรรคเล็ก? และรวมถึงคำถามต่อระดับบิ๊กพรรคร่วมบางคนที่ได้คะแนนสูงเป็นพิเศษ
ในเมื่อปัญหาไม่จบก็ต้องจัดการต่อไป?
ไม่กี่วันต่อมา จึงปรากฏข่าวการลาออกของรัฐมนตรีสองคน ที่ทำเอาหลายคนตกใจไม่เว้นแม้แต่พี่ใหญ่ใน 3 ป. อย่างบิ๊กป้อม-พลเอกประวิตร งานนี้หลายคนจึงตั้งคำถามว่าลาออกเองหรือไม่? เพราะทั้งสองคนนั้นถือเป็นคนสนิทของพลเอกประวิตร การตัดสินใจของพลเอกประยุทธ์ต่อเรื่องนี้จึงน่าจับตามาก เพราะว่าไปแล้วกระแสที่ประชาชนภายนอกมองว่าพลเอกประยุทธ์ต้องยอมตามทุกอย่างจากพี่ใหญ่ รวมถึงคนของพี่ใหญ่ด้วยหรือไม่? แต่แน่นอนสิ่งที่ได้กลับมาคือเสียงชื่นชมจากประชาชนถึงการตัดสินใจของพลเอกประยุทธ์ในแบบที่แฟนคลับพลเอกประยุทธ์รอคอยมานาน
หลังจากนั้นไม่นานก็มีข่าวว่าร.อ.ธรรมนัส จะออกจากพรรคพลังประชารัฐ จะกลับไปอยู่เพื่อไทยหรือไม่ หรือตั้งพรรคใหม่? พลเอกประวิตรจะทำอย่างไรต่อไป? จนลืมดูไปว่า ร.อ.ธรรมนัส มีคดีหรือมีประเด็นอะไรค้างอยู่หรือไม่? แต่ที่แน่ๆ ไม่กี่วันต่อมา ก็มีข่าวอัยการสูงสุดยื่นฟ้อง นายวิรัช รัตนเศรษฐ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และประธานวิปรัฐบาล และพวกรวม 87 คน เป็นจำเลยในคดีทุจริตสนามฟุตซอล โรงเรียนในจังหวัดนครราชสีมาต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งศาลได้นัดพิจารณาครั้งแรกในวันที่ 20 ธันวาคมนี้ ซึ่งต้องดูกันต่อไปว่าจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ สส.หรือไม่ ซึ่งนายวิรัชเป็นบิดาของนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม หนึ่งในรัฐมนตรีกลุ่ม 4 ช. ของร.อ.ธรรมนัส และนางนฤมล และไม่รู้ว่าช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง?
การลาออกสายฟ้าแลบจากเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯของ ร.อ.ธรรมนัส เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐและการลาออกของรัฐมนตรีช่วยแรงงานที่เป็นคนสนิท เรื่องนี้ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องหรือไม่? และไม่รู้จะทำให้เกิดการผิดใจของกลุ่ม 3 ป. หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ดูเหมือนจุดศูนย์รวมอำนาจในพรรคพลังประชารัฐที่เคยคิดว่าอยู่ที่พลเอกประวิตร ตอนนี้อาจไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว และต้องติดตามต่อไปว่าภายในพรรคพลังประชารัฐจะมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจภายในหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้สงบเงียบมาก สงบจนถึงขั้นว่า ยังมีผู้พบว่า ท่านอดีตรัฐมนตรีนฤมล ยังคงอยู่ช่วยงาน พลเอกประวิตร และในที่ประชุมพรรคพลังประชารัฐเมื่อวานนี้ก่อนประชุมสภา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค ก็ยังคงยืนยันในที่ประชุมว่ายังทำหน้าที่เป็นเลขาฯพรรค และเป็นผู้แทนอยู่ ยังทำงานประสานกับหน่วยงานต่างๆ และยังอยู่กับพรรคพปชร.ต่อไป เพียงแต่พรรคได้แต่งตั้งพล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา มาเป็นกรรมการยุทธศาสตร์พรรค ซึ่งต้องมาติดตามบทบาทของพล.อ.วิชญ์ ในพรรคพปชร.ต่อไปหลังจากนี้พร้อมทั้งบทบาทของ ร.อ.ธรรมนัสด้วยเช่นกัน
จากความพยายามในการปั่นกระแสว่า 3 ป.แตกกันเอง จนนำไปสู่การจับมือของเพื่อไทยกับ 1 ใน 3 ป.ก็เพราะไม่มีใครคาดคิดถึงความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นของ พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตรและพล.อ.อนุพงษ์ และแม้พรรคพลังประชารัฐจะมีที่มาจากการรวมนักการเมืองอาชีพหลายกลุ่มการเมืองจากหลายพรรค เช่นเดียวกับพรรคไทยรักไทยในอดีต แต่ต่างกันที่ ไทยรักไทยในอดีตมีบิ๊กบอสอย่างทักษิณเป็นนายทุนและหัวหน้าพรรค ในคนคนเดียว ขณะที่ พปชร. ใช้ความเชื่อใจของ 3 ป. แบ่งหน้าที่กันโดยที่ผ่านมาได้เห็นบทบาทการบริหารของ พล.อ.ประวิตร เป็นหลักในฐานะหัวหน้าพรรค พลเอกอนุพงษ์ กำกับส่วนราชการทั้งส่วนกลางและภูมิภาค และให้พล.อ.ประยุทธ์ ได้ทำหน้าที่บริหารรัฐบาลอย่างเต็มที่
จึงทำให้ที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์ไม่ได้ลงมาดูแล สส.ในพรรคโดยตรง จนทำให้เกิดกระแส สส. ไม่พอใจว่าไม่ได้รับการสนับสนุนจากนายกฯ ทั้งเรื่องโครงการที่ผลักดัน หรืองบประมาณในการสนับสนุนการทำพื้นที่ นั้นดูเหมือนท่าทีของนายกฯหลังจากนี้จะลงมาดูแลสส.โดยตรงมากขึ้นหรือไม่ เพราะล่าสุดนายกฯ ก็เหมือนปรับตัวทันจากท่าทีในการลงพื้นที่สมุทรปราการ พร้อมครม. หลายท่าน ก็มีข้อสั่งการที่ถือว่าได้ใจ สส. พื้นที่ด้วยการสั่งให้ส่วนราชการรับนโยบายจาก สส. ไปพิจารณาด้วยอันไหนเป็นประโยชน์ รวมทั้งยังดูแลสส.เรียกขวัญกำลังใจของท้องถิ่นด้วยการให้ความสำคัญกับนายกอบจ. ซึ่งถือว่าการปรับบทในครั้งนี้ พร้อมกับการสัญญาจะหารือกับ สส.ในพรรคให้มากขึ้นก็เป็นการพลิกเกมของนายกฯที่น่าจับตามอง ถึงการลงมากำกับด้วยตนเอง
ที่ผ่านมาบทบาทการดูแลสส.ก็อยู่กับพล.อ.ประวิตร และร.อ.ธรรมนัส ที่มีหน้าที่ประสานงาน ดูแล ควบคุมแนวทาง แต่ถึงวันนี้ ร.อ.ธรรมนัสลาออกจากครม.ไปแล้ว บทบาทในฐานะเลขาฯพรรคก็จะยังคงอยู่ แต่อำนาจจริงในการกำกับอาจไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว รวมถึงเงาใหญ่อย่างพลเอกประวิตร ก็อาจมีการปรับเปลี่ยนไปตามสถาการณ์แล้ว?
ขณะที่การเมืองภาพใหญ่แม้ว่าการอภิปรายจะเพลี่ยงพล้ำไปบ้างด้วยคะแนนนายกฯที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก ซึ่งโดยปกติแล้วก็จะเป็นประเด็นต่อเนื่องที่อาจนำไปสู่การโจมตีนอกสภาต่อไป แต่ครั้งนี้อาจจะด้วยความบังเอิญที่สัปดาห์ต่อมาหลังอภิปรายฯ นายกฯก็ได้เปิดประเด็นเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ โดยครั้งนี้มีการจับมือข้ามพรรคระหว่างพลังประชารัฐ และเพื่อไทยซึ่งก็ผ่านไปได้ด้วยดีในเรื่องการโหวตเปลี่ยนระบบการเลือกตั้งจาก 1 ใบ เป็น 2 ใบ การเปิดดีลที่สมประโยชน์เพื่อไทยที่อยากได้บัตรสองใบกลับมา ในสภาวะที่ระส่ำระสายของรัฐบาลและนายกฯ กลับส่งผลดีต่อนายกฯ ที่สามารถตรึงสถานการณ์สภาหลังการอภิปรายได้ โดยพรรคหลักฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทยก็สงบนิ่งเป็นอย่างดี เพราะต้องรอผ่านแก้รัฐธรรมนูญฯให้ได้ก่อน จึงไม่พบการโจมตีนอกสภาเท่าไรนัก ทั้งที่ภายในรัฐบาลเองที่มีพรรคร่วมบางพรรคไม่พอใจกับการปรับระบบการเลือกตั้งก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพแต่อย่างใด มีเพียงเรื่องที่ผู้สนับสนุนพรรคพลังประชารัฐที่เป็นห่วงคือ ภายหลังการเปลี่ยนระบบเลือกตั้งจากบัตร1 ใบ เป็น 2 ใบแล้ว พลังประชารัฐจะได้ประโยชน์จากการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้จริงหรือไม่? หรือปรับแล้วจะกลับไปเข้าทางเพื่อไทยมากกว่า?
ในสถานการณ์ที่ล่อแหลม นายกฯยังสามารถเอาตัวรอดออกมาได้ และยังสยบสถานการณ์ในหลายๆ สมรภูมิได้เป็นอย่างดี ทั้งกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน มวลชนบนท้องถนน และที่สำคัญที่สุดคือในพรรคพลังประชารัฐเอง แต่ก็ต้องดูว่าจะสยบและทำให้ประชารัฐเป็นหนึ่งเดียวกันภายใต้ขุมกำลังของพี่น้อง 3 ป. ต่อไปได้จริงหรือไม่? อย่างไรก็ตาม จากบทเรียนล่าสุด อาจทำให้บิ๊ก 3 ป. คิดได้แล้วว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ความสัมพันธ์ของทั้ง 3 ป. ที่มีความลึกซึ้งและผูกพันกันมานานดุจพี่น้องก็จริงก็อาจถูกเจาะได้ สิ่งที่ต้องตั้งคำถามคือ การที่ 3 ป. มีบรรดาคนรอบข้างที่เป็นนักการเมืองชนิดเขี้ยวลากดินนั้น ส่งผลต่อความสัมพันธ์ของ 3 ป. ส่วนใดหรือไม่? เพราะนักการเมืองมืออาชีพสามารถทำสิ่งใดก็ได้ เพื่อผลประโยชน์และเก้าอี้ รวมถึงบทเรียนจากการที่พลเอกประยุทธ์ เว้นระยะห่างกับบรรดา สส. ในพปชร.มากเกินไปเพราะวางใจให้พี่ใหญ่ดูแลคนเดียวนั้น หากยิ่งปล่อยไว้นานจนเกินไปจะนำมาซึ่งปัญหาวิกฤตศรัทธาในตัวผู้นำในยามจำเป็นได้ เหมือนที่เกิดขึ้นล่าสุดมาแล้ว
นอกจากเรื่องของการเมืองที่ยังไม่นิ่งดีนัก แต่ก็ดูเอาอยู่ เรื่องของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ยังต้องบริหารต่อไปพร้อมกรอบเวลาการเปิดประเทศที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งการหยุดโรคในวันนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่าทำไม่ได้แล้ว ไม่ใช่แค่ไทย แต่เป็นรัฐบาลทั้งโลกที่ต้องยอมรับและปรับตัวอยู่กับสังคมรูปแบบใหม่ ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลจะทำได้คือการเตรียมความพร้อมทั้งความพร้อมในการป้องกันตนเอง ความพร้อมด้านภาษาวัฒนธรรม และที่สำคัญคือการเตรียมความพร้อมในด้านภูมิคุ้มกันที่ประชาชนคาดหวังให้รัฐบาลสามารถจัดการให้พร้อมได้ก่อนการเปิดประเทศในเร็วนี้......
“ชีวิต หากพยายามให้ดำเนินไปตามครรลองอันถูกต้อง
จะเป็นเศรษฐีมีทรัพย์นับอนันต์ หรือยากไร้จนต้องภิกขาจาร
หากถืออุเบกขามิฟุ้งเฟ้อทะเยอทะยาน
ย่อมมีความสุขสมอัตภาพทุกรูปนาม”
(โกวเล้ง จากนักสู้ผู้พิชิต)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี