การอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลตั้งแต่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรวม 6 คน ผ่านพ้นไปไม่กี่วัน ก็เกิดเหตุการณ์สะท้านการเมืองไทย นั่นคือการปลดรัฐมนตรีธรรมนัสและรัฐมนตรีนฤมล จนเป็นข่าวดังทั้งประเทศในสัปดาห์นั้นมาจนถึงวันนี้
กลายเป็นว่าผู้ที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจซึ่งควรจะสำเหนียกว่าแม้คะแนนที่ได้มาไม่ทำให้พ้นจากตำแหน่งก็ตาม แต่บรรดาความทั้งหลายที่ได้อภิปรายกันในสภาผู้แทนราษฎรนั้นก็มีความชัดเจนแก่หูตาประชาชนแล้วว่าใครบ้างที่ก่อกรรมทำชั่วฉ้อฉลปล้นบ้านปล้นเมืองและไม่รับผิดชอบต่อประเทศชาติและประชาชน
แต่ผู้ที่ไม่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจคือรัฐมนตรีธรรมนัสและรัฐมนตรีนฤมลกลับถูกปลดออกจากตำแหน่งแบบสายฟ้าแลบ และเป็นการถูกปลดออกจากตำแหน่งในขณะที่หัวหน้าพรรคแกนของรัฐบาลคือ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ล่วงรู้เบาะแสมาก่อนเลย อันอาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องผิดธรรมเนียมทางการเมืองที่ร้ายแรงประการหนึ่ง
ในท่ามกลางควันการเมืองที่คละคลุ้งเหนือบรรยากาศประเทศไทย ข่าวซุบซิบที่ดังสะท้านสะเทือนคือ “ฟ้าผ่าธรรมนัส”, “เอามันให้ตาย”, “เปลี่ยนป้อมไปแทนตู่ ... เปลี่ยนตู่ไปแทนป้อม” และ “สามมิตรจะคืนสู่อำนาจ ยึดพรรค พปชร.” ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และการจับตาสถานการณ์ทางการเมืองกันอย่างไม่วางตา
การรายงานข่าวของสื่อมวลชนทุกสำนักทุกประเภท แม้กระทั่งโซเชียลมีเดีย เกือบทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเหล่านี้ทั้งสิ้น จนแทบทำให้ข่าวโคบ้าเลือนหายไปด้วยซ้ำ และในห้วงเวลาเดียวกันนั้นคนไทยก็ได้เห็นละครน้ำเน่าหลายเรื่องหลายฉากจนน่าสะอิดสะเอียน เพราะคิดไม่ถึงว่าละครน้ำเน่าแบบนี้จะยังนำมาแสดงในยุคนี้ได้อีก
เพียงสัปดาห์ผ่านพ้นไปคลื่นลมก็เริ่มสงบ กลุ่มควันก็เริ่มจางไป กระทั่งล่าสุดความชัดเจนก็ปรากฏให้เห็นในประการดังต่อไปนี้
ประการแรก คำยืนยันก่อนการลงมติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ว่าไม่มีการปรับ ครม. ไม่มีการยุบสภา ก็มีรัฐมนตรี 2 คนถูกปลดออกจากตำแหน่งไปแล้วคงเหลือว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีเข้ามารับตำแหน่งแทนหรือปรับเปลี่ยนตำแหน่งต่างๆ หรือไม่ ซึ่งขณะนี้ฝุ่นกำลังตลบจนกำลังก่อเกิดเป็นความขัดแย้งระลอกใหม่
ประการที่สอง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณได้แถลงยืนยันต่อสื่อมวลชนว่าจะไม่ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคตามที่มีการปล่อยข่าวกดดันมาก่อนหน้านั้นโดยจะยังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคต่อไป และร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รวมทั้ง นางนฤมลภิญโญสินวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งในข้อหาทรยศหักหลังพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา ก็ยังคงดำรงตำแหน่งในพรรคเหมือนเดิม
ประการที่สาม เมื่อหัวหน้าพรรคแกนของรัฐบาลแถลงเช่นนั้นก็ค่อนข้างจะแน่นอนว่ากลุ่มสามมิตรจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค และไม่มีการเปลี่ยนใครมาเป็นหัวหน้าพรรคแทน
ประการที่สี่ หลังเกิดเหตุปลดรัฐมนตรี ผลการลงมติในรัฐสภาเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้พลิกโผในเรื่องสำคัญคือในเรื่องบัตรเลือกตั้ง ซึ่งการเคลื่อนไหวและโผเดิมนั้นกำหนดให้โหวตคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ใช้บัตรเลือกตั้งเบอร์เดียวตามเดิม ซึ่งทำให้อดีต คสช. ได้เปรียบเหมือนกับที่ผ่านมา เพราะถือว่า คสช. เป็นผู้กุมเสียง สว. 250 เสียง อยู่ในมือ
แต่โผกลับพลิกเป็นว่า รัฐสภาลงมติผ่านร่างรัฐธรรมนูญ เป็นผลให้การเลือกตั้งครั้งหน้าต้องใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับพรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐ แต่จะทำให้พรรคเล็กพรรคจิ๋วสูญพันธุ์ไปในอนาคต จึงทำให้เหตุการณ์พลิกโผนี้ถูกวิเคราะห์เจาะลึก
ในที่สุดก็พบว่าในการโหวตครั้งนี้มี สว. ถึง 149 คนโหวตคว่ำโผเดิม มี สว. เพียง 11 คน ซึ่งอยู่ในสายของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยตรง โหวตยืนยันในโผเดิมในขณะที่ สว.อีก 37 คน งดออกเสียง
ซึ่งไม่แน่ชัดว่างดออกเสียงเพราะไม่แน่ใจว่าโผจริงๆ เอาอย่างไร หรือถ้าโหวตพลิกโผก็เกรงใจลุง แต่ถ้าโหวตตามโผใหม่ก็เกรงใจลุงอีกคนหนึ่ง จึงงดออกเสียงเสียดื้อๆ
ผลการออกเสียงของ สว. นั้นจึงทำให้สังคมพบว่าไม่ลุงใดก็ลุงหนึ่งคุมเสียง สว. 148 เสียง และอีกลุงหนึ่งคุมเสียง สว.เพียง 11 เสียง แต่จะเป็นลุงคนไหนนั้น ความจริงยังไม่ชัดเจน
ประการที่ห้า ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ในฐานะเลขาธิการพรรค เมื่อถูกปลดออกจากตำแหน่งก็สั่งย้ายที่ทำการพรรคจากที่เดิมไปที่ใหม่ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า สามารถบริหารจัดการได้เต็มตัว ซึ่งเป็นข้อยืนยันว่าความเป็นมืองานสำคัญของหัวหน้าพรรคนั้นไม่ได้เกินความเป็นจริงเลย และเมื่อมีการประชุมพรรค ทั้งหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคก็ยังมีฐานะนำการเคลื่อนไหวทั้งปวงของพรรค
ประการที่หก การพลิกโผในการโหวตรัฐธรรมนูญทำให้พรรคจิ๋วต้องจ๋อยเพราะรู้ชะตาตัวว่าจะต้องดับสูญดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ล่าชื่อเพื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้จะต้องลงประชามติหรือไม่ และยังมีการแถลงข่าวในลักษณะว่ารัฐธรรมนูญที่แก้ไขนี้อาจจะไม่ได้ใช้เพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา การแถลงข่าวแบบนี้ย่อมกระทบต่อนายกรัฐมนตรีโดยตรง เพราะท่านมิได้แสดงท่าทีในเรื่องนี้เลย พรรคจิ๋วจะไปพูดแทนนายกรัฐมนตรีได้อย่างไร
ประการที่เจ็ด บรรดานักการเมืองที่กลัวการเลือกตั้งที่ใช้บัตรใบเดียวได้เคลื่อนไหวเพื่อให้รีบยุบสภาก่อนที่รัฐธรรมนูญแก้ไขจะใช้บังคับ ด้วยหวังว่าจะอาศัยความได้เปรียบจากการใช้บัตรใบเดียวเหมือนเดิม
แต่อาจจะลืมคิดไปว่าถ้ายุบสภาให้เลือกตั้งใหม่คนที่มีอำนาจลงชื่อส่งใครลงสมัครรับเลือกตั้งนั้นคือพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า พอคิดได้เช่นนี้ก็ต้องชะงักผวาจนเบรกแทบไม่ทัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี