•เรื่องสำคัญยิ่งนี้ เป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคน ควรให้ความสำคัญ ในการเรียนรู้
เพราะจะทำให้เรา เข้าใจตัวเองมากขึ้น ได้นำมาใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิต
สัญญาณชีพ Vital signs
โดยทั่วไปการตัดสินว่าคนจะเป็นผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่จะดูที่การทำงานของอวัยวะสำคัญ 2 ส่วน ได้แก่ ภาวะหัวใจหยุดเต้น และภาวะหยุดการหายใจ
ซึ่งทั้ง 2 ส่วนต่างมีความสัมพันธ์ต่อกัน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนออกซิเจนที่ปอด และมีออกซิเจนไหลเวียนไปเลี้ยงสมอง
และอวัยวะต่างๆ ของร่างกายอย่างพอเพียง
ดังนั้น จึงเป็นความจำเป็นที่ทุกคนรวมถึงบุคลากรทางการแพทย์จักต้องให้มีความรู้ถึงภาวะทั้งสอง
ในการปฏิบัติการเพื่อให้ผู้ปฏิบัติสามารถประเมินได้ว่าผู้เจ็บป่วยนั้นมีสภาวะความรุนแรงระดับใดได้นั้น
ต้องอาศัยข้อมูลที่ได้จากประเมินวัดเป็นลำดับแรกๆของการปฏิบัติการที่เรียกว่า : การประเมิน สัญญาณชีพ
• สัญญาณชีพ Vital signs
เป็นการวัดการทำงานของระบบสำคัญๆ ในร่างกายคน
3 ระบบ ได้แก่
ระบบการหายใจ ระบบการไหลเวียนโลหิตรวมหัวใจ และระบบประสาทบางส่วน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ดี โดยวิธีการวัดอย่างง่ายๆ สามารถบ่งบอกถึงความมีชีวิตของคนว่าเป็นปกติ หรือผิดปกติอย่างไร ซึ่งเมื่อใดที่สัญญาณชีพเปลี่ยนแปลงไปจากค่าปกติของบุคคล ย่อมแสดงถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับบุคคลนั้น
ดังนั้นบุคลากรทางการแพทย์ จึงควรมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลสัญญาณชีพที่แม่นยำเพื่อให้นำไปสู่การแปลผลที่ถูกต้อง
สัญญาณชีพประกอบด้วยการประเมิน 6 อย่างคือ
1. การหายใจ Respiration
โดยดูจากหน้าอกเคลื่อนไหวขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ เพื่อประเมินจำนวนครั้งของการหายใจต่อนาที และลักษณะ
การหายใจปกติหรือผิดปกติอย่างไร
โดยปกติการประเมินการหายใจจะประกอบด้วย
(1) อัตราการหายใจ
โดยการนับจำนวนครั้งของการหายใจในระยะเวลา30 วินาที แล้วคูณด้วย 2 เป็นอัตราการหายใจต่อหนึ่งนาที
- ในทารกอยู่ที่ 25-50 ครั้งต่อนาที
- ในเด็กระหว่าง 15-30 ครั้งต่อนาที
- ในผู้ใหญ่ 12-20 ครั้งต่อนาที
(2) ลักษณะของการหายใจ
ซึ่งสามารถสังเกตไปพร้อมๆกับการนับอัตราการหายใจ
ลักษณะการหายใจที่พบมี 4 ลักษณะ คือ
- การหายใจที่ปกติ ลักษณะการเคลื่อนไหวของทรวงอกเป็นปกติ ผู้ป่วยไม่ต้องพยายามใช้กล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ ช่วยในการหายใจ
- หายใจตื้น
- หายใจลำบาก
- หายใจมีเสียงดัง เป็นเสียงที่ได้ยินเมื่อผู้ป่วยหายใจ เช่น เสียงวี้ด กรนหรือ เสียงครืดคราด เสียง คร็อกในลำคอ
2. ชีพจร Pulse
เป็นการประเมินอัตราการเต้นของหัวใจ โดยการนับจำนวนครั้งของการเต้นของชีพจรในระยะเวลา 30 วินาทีแล้วคูณด้วย 2
เป็นอัตราต่อนาที และลักษณะการเต้นว่าปกติหรือไม่อย่างไรที่เกิดจากการขยายตัวและหดตัวของหลอดโลหิตแดงส่วนปลายๆ เป็นจังหวะตามคลื่นความดันที่มาจากหลอดโลหิตแดงใหญ่ใกล้หัวใจ นำเลือดจากหัวใจไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายเป็น 1 จังหวะการเต้นของหัวใจ
ค่าปกติในทารกอยู่ที่ 130-140 ครั้งต่อนาที สำหรับในผู้ใหญ่ประมาณ 60-80 ครั้งต่อนาที
หลอดเลือดใหญ่ที่สามารถใช้คลำชีพจรได้ คือ
เส้นเลือดคาร์โรติด (ที่คอ)
เส้นเลือดเบรเชียล (ที่ข้อพับแขน) ใช้ฟังเสียงเวลา
วัดความดันโลหิตด้วย
เส้นเลือดฟีโมรอล (ที่ขาหนีบ)
เส้นเลือดเรเดียล (ที่ข้อมือ)
• 3. ความดันโลหิต Blood pressure
เป็นการประเมินจากค่าที่สามารถวัดได้ตั้งแต่อายุ 3 ปีขึ้นไปได้ ซึ่งจะมีสัญญาณเสียงหรือแรงกระทบเมื่อใช้วิธีการคลำเกิดขึ้น 2 จังหวะ คือ
- จังหวะแรก Systolic blood pressure
เกิดขึ้นจากการที่เลือดกระทบผนังเส้นเลือดแดงในจังหวะหัวใจบีบตัว
ค่าความดัน Systolic (บน) ปกติ อยู่ที่ 90-140 mm.Hg
- จังหวะที่สอง Diastolic blood pressure
เป็นจังหวะหรือเสียงสุดท้ายที่เกิดขึ้นก่อนที่เสียงจะเงียบไป เป็นจังหวะเมื่อหัวใจห้องล่างซ้ายคลายตัวพักอยู่
ค่าความดัน Diastolic (ล่าง) ปกติ อยู่ที่ 60-90 mm.Hg
• 4. อุณหภูมิของร่างกาย Temperature
ประเมินได้ด้วยวิธีง่ายๆใช้หลังมือแตะผิวหนังผู้ป่วย
ปกติจะรู้สึกว่าอุ่นเล็กน้อย หรือผิดปกติอุ่นมาก ร้อน เย็นหรือเย็นชืด มีสภาวะแห้งปกติ เปียกชื้นหรือแห้งแตก
การวัดอุณหภูมิมี 3 วิธีคือ
1) การวัดทางปาก
2) การวัดทางทวารหนัก
3) การวัดทางรักแร้
(1) วิธีนี้ใช้กับผู้ที่วัดอุณหภูมิร่างกาย ทางปากและทางทวารหนักไม่ได้
(2) ใช้กับเด็กแรกเกิด และเด็กขวบปีแรกมากกว่าการวัดทางทวารหนัก
•5. การไหลเวียนของโลหิต โดยประเมินจากการจับหรือแตะที่ผิวหนังส่วนใดก็ได้
1) สภาวะของผิวหนังปกติจะต้องแห้ง สิ่งผิดปกติที่พบได้คือ เปียก ชื้นหรือแห้งจนแตก
2) สีของผิวหนังซึ่งจะบ่งบอกถึงการไหลเวียนของโลหิตในชั้นผิวหนัง ซึ่งจะพบได้ดังนี้
(1) ซีด แสดงว่าเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ
(2) คล้ำ แสดงว่าเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอหรือได้รับออกซิเจนไม่พอ
(3) แดง แสดงว่าได้รับความร้อนมาหรือได้รับพิษจากคาร์บอนมอนนอกไซด์
(4) เหลือง แสดงว่ามีความผิดปกติที่ตับ
3) ความรู้สึกถึงอุณหภูมิของผิวหนังที่ได้จากการจับหรือแตะผิวหนังที่พบได้แก่
(1) ร้อน แสดงว่าผู้ป่วยมีไข้หรือได้รับความร้อนมา
(2) เย็น แสดงว่าเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอหรือได้รับความเย็นมา
(3) เย็นชืด แสดงว่าได้รับความเย็นจัดมา
4) การไหลกลับของโลหิตในเส้นเลือดส่วนปลาย
ในผู้ใหญ่สังเกตที่ด้านในของเปลือกตาหรือเล็บ เพื่อดูศักยภาพในการยืดหดของผนังเส้นเลือดฝอย capillary refill โดยการกดไปบนเล็บของผู้ป่วยจนสีเล็บเปลี่ยนเป็นสีซีด
หลังจากนั้นให้ปล่อยมือจากการกดเริ่มนับดูว่าสีของเล็บเปลี่ยนกลับมาเป็นสีชมพูในเวลานานเท่าใด
ปกติไม่เกิน 3 วินาที หากน้อยหรือมากกว่านี้เป็นสิ่งผิดปกติที่ระบบไหลเวียนโลหิตที่ไปเลี้ยงอวัยวะส่วนปลายของผู้ป่วย
ในกรณีที่เป็นทารกหรือเด็กจะใช้การกดที่ที่ส้นเท้าหรือฝ่ามือแทน
• 6. รูม่านตา Pupils
เป็นการตรวจประเมินที่ส่วนใหญ่จะกระทำเฉพาะกรณี โดยใช้ไฟฉายแสงขาวส่องเข้าไปในตาผู้ป่วย เพื่อประเมินดูขนาดรูม่านตาและปฏิกิริยาต่อแสงที่ส่องไปสัมผัส เพื่อประเมิน
1) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของรูม่านตาปกติอยู่ที่ประมาณ 3 มม.
2) ขนาดรูม่านตาทั้งสองข้างของผู้ป่วยเท่ากันหรือไม่ อย่างไร
3) ปฏิกิริยาที่มีต่อแสง เป็นความสามารถในการหด ลดหรือขยายขนาดเมื่อสัมผัสกับแสงสว่าง ซึ่งจะพบได้
(1) มีปฏิกิริยา (reactive) รูม่านตามีการเปลี่ยนแปลงของแสงสว่าง
(2) ไม่มีปฏิกิริยา (non-reaction) รูม่านตาไม่มีการเปลี่ยนแปลงของแสงสว่าง
(3) ปฏิกิริยาตอบสนองเท่ากันทั้งสองข้างหรือไม่
โดยปกติถ้าพูดถึงสัญญาณชีพก็มักจะหมายถึงการประเมิน 1–5
สำหรับข้อ 6 จะกระทำเฉพาะบางกรณีเท่านั้น
บุคลากรจำเป็นต้องมีการดำเนินการประเมินสัญญาณชีพ ในผู้เจ็บป่วยทุกคนในการประเมินสภาวะผู้ป่วย และกระทำซ้ำๆต่อเนื่อง Reassessment เพื่อให้แน่ใจถึงการเปลี่ยนแปลงสภาวะของผู้ป่วย ในผู้ป่วยที่อาการคงที่จะกระทำซ้ำทุก 15 นาที และสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเปลี่ยนแปลง อาการไม่คงที่ให้ดำเนินการซ้ำทุก 5 นาที พร้อมทั้งให้มีการลงบันทึกรายงานการตรวจพบอย่างละเอียดทุกครั้ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี