ในท่ามกลางวิกฤตการแพร่ระบาดของโคบ้า ซึ่งก่อให้เกิดหายนะครั้งใหญ่แก่ประเทศชาติและประชาชนก็เกิดวิกฤตทางการเมืองเกิดขึ้น และกำลังขยายตัวไปอย่างกว้างขวาง ผสมโรงด้วยวิกฤตที่นักล่าอาณานิคมหวนกลับเข้ามาสู่ภูมิภาคนี้ก็เกิดวิกฤตงบประมาณซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก
ปีงบประมาณ 2565 จะเริ่มต้นแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ไปสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 และปัญหางบประมาณก็ได้ก่อตัววิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดซึ่งอาจจะเท่ากับเมื่อครั้งวิกฤตในปี 2474 อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475
ปีงบประมาณ 2565 รัฐบาลได้ตั้งวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 3.1 ล้านล้านบาท เป็นงบประมาณขาดดุล 700,000 ล้านบาท ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลมีภาระรายจ่ายที่ตั้งไว้ 3.1 ล้านล้านบาท และตั้งเป้าหมายว่าจะจัดเก็บรายได้แผ่นดินรวมกันได้ 2.4 ล้านล้านบาท ส่วนที่ขาดอีก 700,000 ล้านบาท ก็จะเป็นการกู้เงินมาชดเชยงบประมาณ ซึ่งทำให้วงเงินหนี้ของประเทศซึ่งชนเพดานเงินกู้อยู่แล้วย่อมก่อให้เกิดปัญหาในการกู้ยืมเงิน เพราะจะเป็นการเพิ่มภาระหนี้จนเกินเพดานเงินกู้
นอกจากนั้น รายได้ที่ตั้งเป้าหมายไว้ 2.4 ล้านล้านบาทนั้นก็มีทีท่าว่าจะมีรายได้ไม่ถึงเป้า ซึ่งได้ปรากฏเค้าลางให้เห็นแล้วจากผลการจัดเก็บภาษีทุกประเภทในแต่ละไตรมาส และผลสะสมว่าจัดเก็บไม่ได้ตามเป้าหมาย
รายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายแผ่นดินกว่า 80% เป็นรายได้จากภาษีอากร ได้แก่ ภาษีฝ่ายสรรพากร คือภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่วนภาษีฝ่ายศุลกากรซึ่งจัดเก็บจากการนำเข้าส่งออก และภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากการอุปโภ-บริโภค แต่ส่วนใหญ่ถึง 70% ของรายได้ภาษีอากรนั้นเป็นรายได้จากภาษีฝ่ายสรรพากร
แต่ทว่าผลจากวิกฤตโคบ้าซึ่งก่อให้เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจตามมา อันเกิดจากมาตรการล็อกดาวน์ที่ยืดเยื้อยาวนานกว่า 18 เดือน ทำให้ธุรกิจต่างๆ ประกอบการไม่ได้ ต้องปิดกิจการ ไม่มีแรงงานในการทำงาน ผู้คนตกงานกันเกือบทั้งประเทศ กิจการค้าต่างๆ ต้องปิดกิจการ ขาดทุนหรือล้มละลาย
นั่นเป็นความผิดพลาดล้มเหลวครั้งใหญ่ ที่ปล่อยให้คณะหมอคณะหนึ่งเข้ามาบงการหรือมีบทบาทในการออกมาตรการต่างๆ ที่โน้มเอียงไปในทางซ้ายจัด ไม่คำนึงถึงความพินาศวายวอดของเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งในที่สุดก็ชัดเจนว่าล้มเหลว เพราะไม่สามารถป้องกันการแพร่ระบาดได้ คนไทยป่วยสะสมมากกว่า 15 เท่าของประเทศจีน มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากและต้องใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมหาศาลไปกับความล้มเหลวดังกล่าว
ในขณะที่ ป.ป.ช. ก็ระบุว่าได้เกิดการทุจริตขึ้นครั้งใหญ่จากการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีพิเศษที่อ้างสถานการณ์ฉุกเฉิน และมีการพบกรณีทุจริตแล้วกว่า 15,000 กรณี
ผลจากการนี้จึงทำให้การจัดเก็บภาษีเงินได้ ทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม แม้กระทั่งภาษีศุลกากรและสรรพสามิตไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
มีการประมาณว่ารายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2565 จากภาษีอากรนั้นอาจจะขาดเป้าหมายไปถึง 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งจะยิ่งทะลุเพดานเงินกู้ไปเป็นจำนวนมาก และเป็นภาระแก่รัฐที่จะต้องกู้เงินมาใช้ มิฉะนั้นก็จะกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดิน
ในกรณีที่การจัดเก็บภาษีขาดเป้า 1.2 ล้านล้านบาท เมื่อรวมกับงบขาดดุลที่ต้องกู้อีก 700,000 ล้านบาท แล้วก็จะเป็นเงินรวมถึง 1.9 ล้านล้านบาท เท่ากับ 2 ใน 3 ของงบประมาณแผ่นดิน
ในขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ให้คำแนะนำว่ารัฐบาลจำเป็นจะต้องกู้เงินเพิ่มอีก1 ล้านล้านบาท เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ยอดเงินกู้รวมกันเป็นจำนวนถึง 2.9 ล้านล้านบาท เกือบเท่ากับวงเงินงบประมาณแผ่นดินไปแล้ว และแน่นอนว่าทะลุทะลวงเพดานเงินกู้จนไม่อาจทำได้
และนี่ก็จะเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาล เพราะถ้าไม่สามารถจัดหาเงินมาใช้จ่ายได้ นอกจากกระทบต่อภาระรายจ่ายที่สำคัญคือการลงทุนซึ่งส่งผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ยังกระทบต่อรายจ่ายประจำซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นรายจ่ายในภาคเงินเดือนค่าจ้าง ถึงขั้นอาจไม่มีเงินมาจ่ายเงินเดือนเบี้ยเลี้ยงข้าราชการ ซึ่งเบื้อต้นก็ต้องปลดหรือเลิกจ้างลูกจ้างชั่วคราวก่อน และอาจไปถึงขั้นลดจำนวนหรือลดเงินเดือนข้าราชการลง นั่นก็จะซ้ำรอยเหตุการณ์ในปี 2474
จึงเป็นเรื่องที่จะต้องเตรียมการป้องกันแก้ไขไว้ล่วงหน้าว่าจะหาทางออกอย่างไรและแก้ไขอย่างไร
แต่สิ่งที่จำเป็นเร่งด่วนที่สุดและรัฐบาลคงต้องดำเนินการในทันทีที่เปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยหน้าในวันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป ก็คือการเสนอกฎหมายกู้เงินไม่ว่าจะทำโดยพระราชกำหนดหรือโดยการเสนอร่างพระราชบัญญัติก็ตาม ซึ่งไม่ว่าวิธีการใดก็ต้องนำเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรอนุมัติ
และเนื่องจากกฎหมายดังกล่าวมีลักษณะเป็นกฎหมายการเงิน ที่ถ้าหากไม่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรไม่ว่าในวาระใด ก็จะส่งผลทางการเมืองสองประการ คือรัฐบาลต้องลาออกหรือไม่ก็ต้องยุบสภา ดังนั้นระยะเวลาที่เหลืออยู่อีกประมาณ 1 เดือนจึงเป็นห้วงเวลาระทึกใจที่รัฐบาลจะต้องเตรียมการในเรื่องนี้ ที่สำคัญคือการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองโดยเฉพาะในพรรคร่วมรัฐบาลเอง
เพราะแค่สภาผู้แทนราษฎรลงมติด้วยเสียงข้างมากของ สส. ที่เข้าร่วมประชุมว่าไม่เห็นชอบเท่านั้น ก็จะส่งผลให้รัฐบาลต้องลาออกหรือยุบสภาทันที และนี่ก็คือวิกฤตที่มีเวลาเพียงประมาณ 40 วัน ในการป้องกันแก้ไข
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี