วันก่อนได้เห็นรายงานเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับสำนักงานสอบบัญชีและผู้สอบบัญชีในตลาดทุนหรือผู้สอบบัญชีบริษัทในตลาดหุ้น ปรากฏว่าสำนักงานสอบบัญชีของต่างชาติได้ครองธุรกิจหรือให้บริการแก่ลูกค้าในตลาดหุ้นถึง 95% ของมูลค่าตลาด
หมายความว่าสำนักงานของคนไทยทั้งประเทศกว่า 2,000 แห่ง รวมกันได้ให้บริการแก่บริษัทในตลาดหุ้นเพียง 5% ของมูลค่าตลาดเท่านั้น สภาพเช่นนี้ไม่อาจกล่าวอย่างอื่นได้นอกจากกล่าวว่าต่างชาติได้ยึดกิจการสอบบัญชีของคนไทยไปแทบจะสิ้นเชิงแล้ว
ไม่เพียงแต่อาชีพสอบบัญชีเท่านั้น ยังปรากฎด้วยว่าแม้อาชีพนักกฎหมายหรือสำนักงานกฎหมายก็มีลักษณะเป็นอย่างเดียวกัน คือสำนักงานกฎหมายของต่างชาติ 4-5 แห่ง ได้ครองรายได้จากการให้บริการทางกฎหมายในสัดส่วนที่ไม่ต่างกันกับงานบัญชี
ใครรับผิดชอบและใครเปิดเงื่อนไขโอกาสให้ต่างชาติยึดครองอาชีพสอบบัญชีและอาชีพกฎหมายของคนไทยได้ถึงขนาดนี้
โดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการสงวนอาชีพเฉพาะสำหรับคนไทย มีความชัดเจนว่าทั้งอาชีพบัญชีและกฎหมายเป็นอาชีพที่สงวนไว้เฉพาะสำหรับคนไทยเท่านั้น ชาวต่างชาติไม่ว่าในรูปลักษณะบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ไม่ว่าจะแอบแฝงแปลงรูปในลักษณะใดๆ ก็ตามไม่สามารถประกอบอาชีพเช่นว่านี้ได้เพราะมีความผิดตามกฎหมาย และหน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องทำการตรวจสอบเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
บทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการสงวนอาชีพลักษณะเช่นนี้ได้ประกาศใช้ในทุกประเทศทั่วโลก และโดยผลของบทบัญญัติแห่งกฎหมายลักษณะนี้ที่มีความเป็นสากล คนไทยไม่ว่าจะในรูปบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลย่อมไม่สามารถประกอบวิชาชีพบัญชีหรือกฎหมายในต่างประเทศได้
แล้วเหตุไฉนเล่าการแย่งอาชีพของคนไทยโดยผิดกฎหมายเช่นนี้จึงเกิดขึ้นในประเทศไทย กระทั่งประหนึ่งว่ามีการสนับสนุนและเอื้อเฟื้อเกื้อกูลให้ต่างชาติ
เข้ายึดครองอาชีพสงวนพิเศษสำหรับคนไทยราวกับว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา แต่เป็นเรื่องผิดกฎหมายและเป็นเรื่องที่ต้องจัดการให้เป็นไปตามกฎหมาย และเป็นเรื่องที่ผู้มีส่วนได้เสียทั้งปวงคือผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีและกฎหมายที่จะต้องปกป้องสิทธิ์ของตนเอง อย่างน้อยก็เป็นการแสดงออกถึงความไม่ยอมเป็นข้าทาสของต่างชาติ และเพื่อความเสมอภาคในการประกอบวิชาชีพดังกล่าวนี้
ส่วนราชการทั้งปวงก็ต้องตระหนักและสำเหนียกในเรื่องนี้ และต้องไม่ยอมให้มีการย่ำยีกฎหมายของประเทศไทย ต้องทบทวนการเอื้อเฟื้อเกื้อกูลทั้งปวงที่สนับสนุนจุนเจือหรือเปิดช่องให้ต่างชาติเข้ายึดครองวิชาชีพสงวนไว้ของคนไทยอย่างจริงจัง
เพราะถ้าผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบตระหนักสำนึกในความรับผิดชอบอย่างแท้จริงแล้ว การย่ำยีกฎหมายสงวนอาชีพพิเศษนี้ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้
อาจจะมีการแย้งว่าไม่มีชาวต่างชาติที่เป็นบุคคลธรรมดาประกอบวิชาชีพบัญชีและกฎหมายเลย แม้การประกอบการในรูปลักษณะบริษัทจำกัดก็ล้วนเป็นบริษัทไทยทั้งสิ้น
การบ่ายเบี่ยงเถียงเช่นนี้แท้จริงก็เป็นเพียงแค่การปกป้องให้กับการย่ำยีกฎหมายของประเทศไทยต้องด้วยลักษณะเอื้อเฟื้อเกื้อกูลให้ต่างชาติยึดครองธุรกิจของคนไทยนั่นเอง
ถามว่าไม่ทราบและไม่เข้าใจจริงๆ หรือว่ามีการแอบแฝงแปลงรูปและตั้งนอมินีเพื่อจำแลงตัวให้เป็นกิจการของคนไทย เพราะเพียงแค่ข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้ก็แจ่มแจ้งชัดเจนแล้วว่าเป็นกิจการของต่างชาติหรือไม่
ประการแรก โดยชื่อของกิจการก็เป็นชื่อเดียวกันกับกิจการของต่างชาติที่เปิดดำเนินการในต่างประเทศ และประเทศอื่นๆ ซึ่งมีลักษณะเชื่อมโยงเป็นโครงข่าย
ประการที่สอง แม้ผู้ถือหุ้นที่เป็นบุคคลธรรมดาซึ่งถือหุ้นอยู่ไม่กี่หุ้น แต่ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่แท้จริงก็เป็นนิติบุคคล และถ้าหากดูผิวเผินก็อาจเข้าใจได้ว่าเป็นนิติบุคคลของไทย แต่สามารถดูลึกลงไปได้อีกชั้นหนึ่งว่านิติบุคคลนั้นแท้จริงก็เป็นนอมินีของต่างชาติ เพราะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของนิติบุคคลนั้นก็เป็นนิติบุคคลอีก จำแลงแปลงรูป 3-4 ทอด และในที่สุดก็เชื่อมโยงชัดเจนว่าเจ้าของกิจการที่แท้จริงที่ตั้งนอมินีเหล่านั้นก็คือบริษัทของต่างชาติที่เป็นเจ้าของชื่อเดียวกันนั้นนั่นเอง
ดังนั้นนิติบุคคลนั้นจึงเป็นต่างด้าวที่หลีกเลี่ยงกฎหมายใช้นอมินีถือหุ้นแทนต่างชาติ ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายอีกสถานหนึ่ง
ประการที่สาม ผลกำไรจากกิจการที่มีการจ่ายออกในรูปค่าที่ปรึกษาบ้าง ค่าวิชาการบ้าง ค่าการตลาดบ้าง รวมทั้งการแบ่งผลกำไร ก็จะผ่านนอมินีเป็นทอดๆ ไปจนถึงนิติบุคคลต่างด้าวในต่างประเทศ
ประการที่สี่ กิจการเหล่านี้จะส่งผู้คนในรูปของนักวิชาการเข้าไปแทรกแซงในองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการออกกฎระเบียบภายใต้ข้ออ้างมาตรฐาน คือ “มาตรฐานที่บงการโดยต่างชาติทั้งสิ้น” ดังนั้นการกำหนดมาตรฐานจำนวนมากจึงมีลักษณะกีดกันผู้ประกอบการคนไทยและเอื้อประโยชน์ให้กับต่างชาติ
และประการสำคัญที่สุดเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับปัญหาความมั่นคงของชาติด้วย ดังตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศจีน ที่มีการนำข้อมูลภายในของรัฐวิสาหกิจและบริษัทจีนเอาไปแฉในต่างประเทศเกี่ยวกับความด้อยค่าของสินทรัพย์หรือการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งด้านหนึ่งรัฐบาลจีนก็ได้ใช้ประโยชน์กวาดล้างเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำการคอร์รัปชั่น และยึดทรัพย์สินเข้ารัฐเป็นจำนวนมหาศาล
แต่อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลจีนก็ทำการตรวจสอบว่าข้อมูลภายในของรัฐวิสาหกิจและบริษัทขนาดใหญ่ของจีน โดยเฉพาะบริษัทในตลาดหุ้นของจีนรั่วไหลไปยังต่างประเทศได้อย่างไร ในที่สุดก็พบว่ามีการลอบส่งข้อมูลทั้งในรูปลักษณะร่างสัญญาและกระแสเงินรายการใหญ่สำคัญไปยังหน่วยงานด้านข่าวกรองของต่างชาติ ทำให้เกิดการตื่นตระหนกตกใจขึ้นในรัฐบาลจีน
และเป็นเหตุให้รัฐบาลจีนเร่งรัดให้มีการจัดตั้งสำนักงานกฎหมายและสำนักงานสอบบัญชี รวมทั้งสำนักงานบัญชีขึ้นทั่วประเทศจีน และส่งเสริมยกระดับการทำงานทางวิชาชีพ รวมทั้งการลดเลิกไม่ให้รัฐวิสาหกิจและบริษัทขนาดใหญ่ของจีนใช้บริการวิชาชีพของบริษัทต่างชาติ ซึ่งจำแลงแปลงรูปในลักษณะเดียวกันกับที่เกิดขึ้น
ในประเทศไทย
สำหรับประเทศไทยของเราก็เกิดกรณีศึกษาที่น่าสนใจยิ่ง ว่าข้อมูลลึกข้อมูลลับอันเป็นการภายในของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานของรัฐที่ใช้บริการกฎหมายและสอบบัญชีของต่างชาติดังกล่าวแล้วเกิดเหตุกล่าวหาว่าผู้บริหารหน่วยงานนั้นคอร์รัปชั่น จนเป็นเหตุให้รัฐบาลต้องรีบดำเนินคดีเป็นผลให้อดีตผู้บริหารหน่วยงานเหล่านั้นถูกศาลจำคุกไปหลายรายแล้ว
เพราะธุรกรรมสำคัญในเรื่องนี้โดยเฉพาะธุรกรรมขนาดใหญ่จะเริ่มต้นขึ้นที่งานกฎหมาย เช่นการสัมปทานทรัพยากรต่างๆ หรือการได้สิทธิ์สัมปทานในกิจการสำคัญก็จะเริ่มต้นขึ้นที่งานกฎหมาย ถ้าหากมีการแอบส่งร่างสัญญาไปให้หน่วยข่าวกรองในต่างประเทศก็เท่ากับประเทศนั้นถูกล้วงไส้โดยไม่รู้ตัว
และแน่นอนว่าทุกกิจการทุกกิจกรรมก็ย่อมเกี่ยวข้องด้วยรายงานทางการเงินและบัญชี ดังนั้นถ้ามีการแอบส่งรายการสำคัญไปให้หน่วยข่าวกรองต่างชาติในต่างประเทศก็เท่ากับถูกล้วงตับล้วงไส้
เป็นเหตุให้หน่วยข่าวกรองในต่างประเทศสามารถล่วงรู้ข้อมูลลับของประเทศ ซึ่งย่อมกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ดังตัวอย่างล่าสุดคือคดีโกงภาษีมูลค่าเพิ่มที่เป็นผลให้อดีตอธิบดีคนหนึ่งถูกศาลจำคุกตลอดชีวิต และล่าสุดก็คือคดีจ่ายสินบนของบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นซึ่งถูกแฉความจริงขึ้นในต่างประเทศ โดยผู้เกี่ยวข้องในประเทศไทยกำลังตกเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลย
นี่คือหายนะและภยันตรายร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้นในทุกกิจการขนาดใหญ่และต่อชาติบ้านเมืองของเราด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี