ประเทศไทยได้ตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินมาเป็นเวลาเกือบสองปีแล้ว เป็นการประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินที่อ้างว่าเพื่อรับมือแก้ไขกับปัญหาโรคระบาดที่ยาวนานที่สุดในโลก และที่ไม่มีประเทศไหนเขาทำกัน
ที่สำคัญคือผลของการประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินนั้นทำให้ประเทศไทยถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤตต่างๆ อีกมากหลายติดตามมา ไม่ว่าวิกฤตทางเศรษฐกิจ วิกฤตทางการเงิน วิกฤตทางสังคม วิกฤตทางการเมือง และวิกฤตหนี้สินของประเทศชาติ ที่อาจต้องใช้เวลาหลายสิบปีจึงจะรักษาเยียวยาบาดแผลนี้ให้หายได้
เสียงก่นด่าสาปแช่งและทวงหนี้ชีวิตของประชาชนที่เสียชีวิตจำนวนมากและป่วยเจ็บเกินกว่า 15 เท่าของผู้ป่วยสะสมของประเทศจีนดังกึกก้องไปทั่วสารทิศ ผสมกับเสียงนินทาสาปแช่งเกี่ยวกับการโกงชาติฉ้อราษฎร์บังหลวงที่ฉกฉวยโอกาสจากการใช้สถานการณ์ฉุกเฉินทุจริตฉ้อฉลจำนวนมาก เฉพาะที่ ป.ป.ช. แถลงการตรวจพบกรณีที่เกิดขึ้นก็มีจำนวนถึง 15,000 กรณี
ที่สำคัญ ยิ่งใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนานไปเท่าใด ยิ่งล็อกดาวน์ประเทศนานไปเท่าใด ความจริงก็เปิดเผยตัวเองชัดเจนจนไม่อาจโต้แย้งได้ว่า สิ่งที่ทำนั้นไม่สามารถป้องกันการแพร่ระบาดได้เลย การแพร่ระบาดยังคงเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง จนมีการตั้งคำถามกันโดยทั่วไปว่าประเทศไทยมีประชากร 70 ล้านคน
ผิดพลาดล้มเหลวขนาดไหนจึงมีผู้ป่วยมากเกิน 15 เท่าของผู้ป่วยสะสมในประเทศจีนซึ่งมีประชากร 1,400 ล้านคน เหตุผลแค่นี้ก็ได้พิสูจน์ความผิดพลาดล้มเหลวที่ถึงแม้ยังไม่ปรากฏรายการชัดเจน แต่โดยรวมก็มีความชัดเจนว่าผิดพลาดล้มเหลว
มิหนำซ้ำ มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งเป็นจำนวนมาก ชีวิตของประชาชนที่เสียชีวิตวันแล้ววันเล่าจนถึง 15,000 คนจึงเกิดเสียงเรียกร้องทวงหนี้ชีวิตกึกก้องกระหึ่มโดยไม่มีใครแสดงความรับผิดชอบ แม้กระทั่งผลการจ่ายค่าเยียวยาช่วยเหลือให้แก่ญาติผู้เสียชีวิตเหล่านั้น
บรรดาผู้ได้รับผลกระทบเสียหายแทบทุกวงการเรียกร้องอย่างไรก็ไม่ได้ผล ในที่สุดก็เกิดการรวมตัวกันฟ้องร้องคดีทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาอย่างต่อเนื่อง และยังจะมีการดำเนินคดีเพิ่มเติมขึ้นอีกจนไม่รู้ว่าจะจบสิ้นเมื่อใด
และผู้ที่ต้องถูกฟ้องดำเนินคดีก็คือนายกรัฐมนตรีและคณะที่เกี่ยวข้อง เพราะผลจากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นทำให้นายกรัฐมนตรีต้องออกมายืนหน้ารับผิดชอบเป็นคนที่ 1 แทนที่จะเป็นผู้รับผิดชอบในฐานะนายกรัฐมนตรีตามกฎหมายบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งทำให้ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีได้อย่างง่ายดาย และตกเป็นเป้าหมายที่จะถูกฟ้องจากผู้เสียหายหลายแสนราย ซึ่งสภาพเช่นนี้ใครก็รับไม่ไหว
ในขณะที่พวกเสวยสุขและอำนาจจากการที่ได้ไปมีตำแหน่งหน้าที่การงานใน ศบค. ทั้งในรูปกรรมการ อนุกรรมการ หรือคณะทำงาน รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องมีประโยชน์ได้เสียต่างสร้างกระแสสร้างข่าวให้ประชาชนมีความหวาดกลัวและต้องการให้มีการปิดประเทศต่อไปอีกนานเท่านาน ต้องการให้ล็อกดาวน์ประเทศอีกนานเท่านาน ก็ไม่ยอมละวางอำนาจและประโยชน์ ยังคงเดินหน้าประพฤติปฏิบัติเหมือนเดิม
แต่ยิ่งนานวันก็ไม่อาจทานเสียงของประชาชนผู้เดือดร้อนเสียหายที่กึกก้องกระหึ่มทั้งประเทศได้ และยังมีความประหวั่นใจที่จะรับผิดทั้งทางอาญาและทางแพ่ง ถึงขั้นดิ้นรนจะให้มีการออกกฎหมายห้ามมิให้ประชาชนผู้เสียหายฟ้องร้องดำเนินคดี แต่เสียงคัดค้านดังทั่วทั้งประเทศไม่อาจฝืนมติมหาชนได้จึงต้องเลิกล้มไป
ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการทุกภาคส่วนจากที่เคยยำเกรงอำนาจและยอมสงบสยบนิ่งก็ไม่อาจทนสภาพที่เป็นอยู่ได้อีกต่อไป จึงรวมตัวกันยื่นข้อเรียกร้องนานาประการ โดยเฉพาะคือให้ยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ให้ยุบ ศบค. ให้เปิดประเทศ ให้คืนความเป็นปกติแก่ประเทศชาติและผู้ประกอบการ และให้เยียวยาผลกระทบที่เกิดความเสียหายขึ้น
ผู้ประกอบการระลอกแล้วระลอกเล่าหลั่งไหลเข้าเรียกร้องจนไม่อาจปกปิดความเดือดร้อนเสียหายที่เกิดขึ้นในวงกว้างของประเทศได้อีกต่อไป และทำให้ไม่สามารถดึงดันที่จะใช้สถานการณ์ฉุกเฉินต่อไปได้อีก ไม่สามารถที่จะดึงดันล็อกดาวน์ต่อไปได้อีก
ดังนั้นจึงมีมติคณะรัฐมนตรีล่าสุดไม่ต่ออายุสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้ประกาศฉุกเฉินสิ้นสุดลงวันที่ 30 กันยายน 2564และเป็นผลให้ต้องยุบ ศบค. โดยอัตโนมัติ รวมทั้งบรรดาอนุกรรมการและคณะทำงานทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการจับจ่ายใช้สอยเงินแผ่นดินที่เกี่ยวข้องกับโรคระบาดที่จับจ่ายใช้สอยกันอย่างมันมือก็ต้องสิ้นสุดลงและเข้าสู่กระบวนการตามปกติ
นั่นคือมีผลเป็นการคืนอำนาจให้แก่รัฐมนตรีทุกคนทุกกระทรวง ทำให้ระบบบริหารราชการแผ่นดินกลับคืนสู่สภาพปกติ และทำให้การใช้จ่ายเงินแผ่นดินต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์กติกาที่กฎหมายบัญญัติ
นั่นเป็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ควันหลงที่จะติดตามมาโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ก็คือการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินแผ่นดินตั้งแต่มีการประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินเป็นต้นมาว่าได้ใช้เงินแผ่นดินไปทั้งสิ้นเป็นจำนวนเท่าใด มีการทุจริตฉ้อฉลไปเป็นจำนวนเท่าใด ซึ่งเรื่องนี้คงเป็นเรื่องอีกยาว และอาจจะใหญ่โตกว่ากรณีเรื่องจำนำข้าวหลายเท่านัก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี