ประเด็นการแยกคณะออกตรวจราชการของพี่น้อง 3 ป. ที่กระซุ่นแถลงอย่างไร้ความจริงใจที่ว่า ความตายเท่านั้นที่จะทำให้ยุติความรักความสามัคคีฉันพี่น้องของ 3 พลเอกที่ร่วมกันก่อตั้ง “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)” กระทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลนอมินีที่มุ่งหาผลประโยชน์และปกป้องคนในครอบครัวออกกฎหมายนิรโทษกรรมกลางดึกจนเป็นเหตุให้มวลมหาประชาชนทั่วประเทศออกมาเคลื่อนไหวเดินขบวนต่อต้านและขับไล่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ก่อนจะสิ้นสุดอำนาจโดยคสช. สัญญาข้อหนึ่งที่ 3 นายพลให้ความหวังสังคมไทยไว้คือ จะจัดการเลือกตั้งคืนอำนาจการตัดสินใจให้ประชาชนโดยเร็ว “3 นายพลและติ่งท็อปบูท” ก็ดำเนินการตามสัญญาด้วยกติกาด้วยรัฐธรรมนูญที่ผ่านความรับรองเห็นชอบของประชาชนกว่า 16.80 ล้านคนหรือราว 61.35% ของผู้มาใช้สิทธิ์ 29.74 ล้านคน
การเลือกตั้งครั้งนี้ 3 นายพลร่วมกับศิษย์สัมภเวสีและกลุ่มทุนบางส่วนตั้งพรรคการเมืองลงสนามเลือกตั้ง ลักษณะเดียวกับ “เหล่าท็อปบูท” ในอดีตหลังทำการรัฐประหารมาแต่ครั้งอดีต อาทิ “พรรคเสรีมนังคศิลา, พรรคสหภูมิ, พรรคสหประชาไทย หรือไวรัสกลายร่างอย่าง “พรรคชาติสังคม, พรรคราษฎร, พรรคสามัคคีธรรม, พรรคเพื่อแผ่นดิน และพรรคมาตุภูมิ จนมาถึง “พรรคพลังประชารัฐ” วัตถุประสงค์ของพรรคการเมืองเหล่านี้ของคณะรัฐประหารต่างๆนั้นคล้ายกันคือ สืบทอดอำนาจจากการรัฐประหารเป็นการเข้าสู่อำนาจการปกครองแผ่นดินผ่านความเห็นชอบของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย และรัฐธรรมนูญที่บัญญัติขึ้น โดยตนเอง เพื่อตนเอง
ส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองพบว่าประสบความสำเร็จ แต่สำเร็จแตกต่างกันในเหตุและผล อย่างเลือกตั้งอัปยศสุดสกปรกในเดือนกุมภาพันธ์ 2500 ชิงเก้าอี้ท่านผู้ทรงเกียรติ 160 ที่นั่ง พรรคเสรีมนังคศิลาของจอมพลแปลก พิบูลสงคราม หัวหน้าพรรคกับ พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ เป็นเลขาธิการพรรค ทำทุกวิถีทางจนชนะการเลือกตั้ง
แต่ส่วนใหญ่พรรคท็อปบูทมักไม่ประสบความสำเร็จหลังการยึดอำนาจและจัดการเลือกตั้งทั่วไป อาจมีส่วนร่วมบ้างจากพรรคไวรัสกลายร่างอย่าง พรรคสามัคคีธรรมที่คณะรสช.ที่ยึดอำนาจ “รัฐบาลบุฟเฟ่ต์คาบิเนตของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ” ให้การสนับสนุนมี“ณรงค์ วงศ์วรรณ” เป็นหัวหน้าพรรค มี “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรคนปัจจุบันเป็นรองหัวหน้าพรรคชนะการเลือกตั้งปี 2535 โดยรัฐธรรมนูญฉบับปี 2534 มีที่นั่งในสภาหินอ่อนจำนวน 79ที่นั่ง ร่วมกับพรรคการเมืองอื่นคือ พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทย พรรคราษฎร ตั้งรัฐบาลผสมโดยให้ พลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากนายณรงค์วงศ์วรรณ มีปัญหาส่วนตัวที่ไม่สามารถเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาได้
การเลือกตั้งและยกอำนาจให้รสช.เถลิงอำนาจบริหารต่อครั้งนี้เกิดกระแสต่อต้านอย่างรุนแรง เรียกร้องนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง เกิดกระแสพรรคการเมืองเทพพรรคมาร จนเกิดเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ”
มาถึงการเลือกตั้งยุค “3 นายพลนอกราชการ-พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา, พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ, พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา และ“พรรคพลังประชารัฐ” ที่ลงสนามเลือกตั้งพร้อมวาทกรรมการเมืองฝ่ายตรงข้ามต่อต้านเผด็จการทหาร และการสืบทอดอำนาจ คสช. พร้อมมาตรา 44
ที่สุด 3 นายพลและพรรคพลังประชารัฐชนะการเลือกตั้งอย่างขาวสะอาดเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลท่ามกลางความหวังของสังคมไทยที่เชื่อกันว่าบัดนี้ได้ผู้นำรัฐบาลที่ใจซื่อมือสะอาดปราศจากการคอร์รัปชั่นจงรักภักดีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่ตั้งสภาพความเป็นอยู่และเศรษฐกิจประเทศจะดีขึ้น พรรคพลังประชารัฐและการบริหารราชการแผ่นดินของ 3 นายพลใกล้ครบวาระตามรัฐธรรมนูญ
สังคมไทยยังคงแสดงออกชัดเจนให้การสนับสนุนศรัทธาเชื่อมั่นในตัวลุงตู่-พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ขณะที่สมาชิกพรรคพลังประชารัฐเองกลับขาดศรัทธาและความเชื่อมั่น คิดไปเองว่าชัยชนะในการเลือกตั้งที่ผ่านมาเป็นเพราะตัวพรรคการเมืองมีความเข้มแข็งและตัวแทนที่ลงเลือกตั้งได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนความทะนงอวดดีจนไม่สำเหนียกนิทานอีสป และคำพังเพย “กบเลือกนาย” จะนำหายนะมาสู่พรรคการเมืองและประเทศชาติ เปิดโอกาสให้ “สัมภเวสี-นักการเมืองชังชาติ”
กลับมาฟื้นระบอบทักษิณเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ของชาติ
งาบภาษีกูไปสร้างความมั่งคั่ง มั่นคงแก่ตนเองและพวกพ้อง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี