รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีปัญหาเรื่อง “การสื่อสาร” ในทุกสถานการณ์ ตั้งแต่โรคระบาด การเมือง และมาถึงตอนนี้ คือ สถานการณ์น้ำท่วม
อยากให้นายกรัฐมนตรี ได้อ่าน 3 ความเห็นต่อไปนี้
1)ดร.ณัฐพล ลาภบุญทรัพย์ โพสต์เฟซบุ๊คว่า
“...แทนที่ข่าวจะเล่าไปขยี้ไปว่า น้ำท่วมหมู่บ้านนั้นหมู่บ้านนี้ เวิ้งนั้นเวิ้งนี้ เล่าน้ำท่วมทุ่งเป็นหลายเบรก แล้วก็พูดแหย่ไปแหย่มา ให้คนปริวิตกว่าน้ำจะท่วมพินาศสันตะโรเหมือนเมื่อสิบปีที่แล้ว น่าจะให้ความรู้และข้อเท็จจริงก่อนไหมว่าน้ำท่วมครั้งนี้ต่างจากปี 2554 อย่างไร ปริมาณน้ำในเขื่อนต่างกันมากฝนตกใต้เขื่อนเป็นหลัก เส้นทางระบายน้ำผ่านลุ่มน้ำต่างๆ เป็นอย่างไร (ที่จริงแล้วเรื่องลุ่มน้ำนี่มีเรียนมาตั้งแต่วิชาสังคมศึกษาฯ ในชั้นมัธยม ไม่ใช่ว่าต้องจำได้แต่ต้องมี sense ไปเปิดแผนที่บ้างถ้ากังวลมาก) วิธีการแก้เฉพาะหน้าทำอย่างไร ระยะยาวทำอย่างไร แก้มลิงที่เอางบไปศึกษาเยอะแยะไปถึงไหนแล้ว งบบริหารจัดการน้ำหายไปไหนหมด ทำไมสิบปีผ่านไปเจอพายุใต้เขื่อนลูกเดียวถึงเจ๊ง ทำไมนายทุนถมที่สร้างหมู่บ้านบนพื้นที่แก้มลิงได้ ฯลฯ
...ไม่ใช่ฉายภาพวนไปทีละหมู่บ้าน สัมภาษณ์คนนั้นทีคนนี้ที รำพึงรำพันกันไปแล้วก็ปล่อยผ่าน คนดูก็สะดุ้งไปสิ พูดจากันอึงคะนึงว่าแย่แล้วๆ ทั้งที่สถานการณ์ไม่เหมือนกันเลย การเตือนภัยเขาก็เตือนกันตามปกติที่ควรเตือน ไม่ใช่แปลว่าเตือนแล้วจะฉิบหาย ที่พูดนี้ไม่ใช่ว่าบอกว่าน้ำท่วมไม่หนักหรือไม่สนใจคนเดือดร้อน แต่แค่เห็นว่าสื่อต้องให้สติและปัญญากับคนในสังคมมากกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อที่เล่าข่าววนไปตอนเช้าๆ คนเปิดดูทั้งบ้านทั้งเมือง ถ้านักเล่าข่าวซึ่งมีข้อมูลข่าวอย่างเป็นระบบ มีบรรณาธิการข่าว ทำตัวไม่ต่างจากชาวบ้านที่นั่งสุมหัวกันวิพากษ์วิจารณ์สิบทิศ ผมก็มองไม่เห็นว่าเราจะเดินต่อกันยังไง
...การจัดการข่าวก็งง
...การจัดการน้ำก็เละ
...สามวันมานี้ขับรถวนไปวนมาในเขตจังหวัดสิงห์บุรี - ชัยนาท - นครสวรรค์ น้ำปริ่มตลิ่งจริงน้ำมากจริง เอ่อจริง มีคนเดือดร้อนจริง (ต้องช่วย) แต่จะกลายเป็นเวิ้งทะเลสาบตลอดลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาแบบสมัยปี 2554 แบบที่คนตื่นข่าวหรือไม่ น่าจะยังห่างจากจุดนั้นมากครับ
...หมายเหตุ - ปกติอยู่บ้านไม่ได้ค่อยได้เปิดทีวี แต่นี่นั่งอยู่ในโรงแรม มื้อเช้าฟังเล่าข่าววนไปรอมาเกือบชั่วโมงแล้วว่าจะมีข้อมูลอะไรมากกว่าเอาภาพน้ำท่วมและน้ำตาชาวบ้านมาฉายวนไปวนมาไหม สรุปว่าไม่มี สะเทือนใจ”
2)บัณรศ บัวคลี่ โพสต์เฟซบุ๊คว่า...
“...ภาพรวมน้ำไม่ได้มากมหาศาล
...ทางเหนือมีฝนจริงแต่ก็แค่มาก ไม่ล้น เขื่อนแม่กวงที่เชียงใหม่ มีน้ำแค่ 22% ส่วนเขื่อนภูมิพลสิริกิติ์ ขวา-ซ้ายไม่ถึงครึ่ง เติมมาอีกเหอะ น้ำมากับร่องความกดพายุฝนเทใส่กลางอีสาน จากนี้ฝนยังมี แต่อีสานจะเบาลง น้ำเหนือจริงๆ ไม่มาก
...ข้อมูลน้ำเมืองไทยมี แต่กระจายแถมไม่มีใครหยิบภาพใหญ่อธิบายจริงจัง มีแต่ ภาพข่าว รมว.สมศักดิ์หนีน้ำ นายก 2 ป. บินด่วน แถมส่งซิกสวดมนต์เหอะออกสื่อ.. ภาพสื่อสารทำให้ยิ่งหนัก
...แถมติ่งกลัวถูกด่าฝ่ายเดียวไปงัดภาพเก่าน้ำท่วมใหญ่ยุคปูมาเติมกระแส 54 กับ 64 ภาพลอยคู่กันมา
...มันก็ตระหนกไปกันใหญ่เลยสิครับ สวดมนต์น้ำท่วมใหญ่กระต่ายลอยคอกันทั้งเมือง ซึ่งที่จริงก็มีหนัก แต่ยังจำกัดวง ไอ้ที่หนักมันก็หนัก ต้องรีบจัดการประสาหนักส่วนที่ยังไม่หนัก ไม่ต้องเติมให้หนัก
...GISTDA เอาภาพดาวเทียมอ่างลำเชียงไกรแตกมาโชว์ ชัดเจนว่า ระบบเขื่อนกักเก็บเอาไม่อยู่น้ำมากกว่าระบบเทลง แบบนี้อันตราย คนท้ายน้ำต้องได้รับการเตือนและช่วยเหลือ แต่ระบบบ้านเราดันไม่มีศัพท์ทางการบรรยายสถานการณ์ failure ให้เข้าใจระดับของพิบัติภัย แถมห้ามใช้คำเขื่อนแตกที่ชาวบ้านเข้าใจ
...แตกเพล้ง แตกพัง แตกทะลุ แตกทะลวง แตกทะเล็ด แตกปรี๊ด ไม่ต้องรอราชบัณฑิตบัญญัติหรอก กรมชลนั่นล่ะ รีบทำเลย
...สถานการณ์ที่ระบบเก็บน้ำเอาไม่อยู่ ต้องรีบปล่อยออก ชนิดที่เติมมาเท่าไหร่ปล่อยไปเท่านั้น มันก็หายนภัย พิบัติภัยเกิดผลกระทบกับประชาชนจริง และต้องประกาศระดมทำงานแข่งเวลา แม่นก่อครับ
...หากประดิษฐ์คำสวยๆ ว่าน้ำแค่ล้นระบบ เขื่อนยังปลอดภัย ประชานอกพื้นที่อุ่นใจครับ แต่ประชาท้ายเขื่อนนี่สิ ซวยเอา เจ้านายเพิ่นว่าเขื่อนยังบ่แต๊กยังบ่เป่นหยัง ทั้งๆ ที่น้ำมาแล่ว...ผมสนับสนุนให้ใช้คำที่หลากหลายขึ้น หากกันคำว่า เขื่อนแตกไว้เป็นเลเวลแรงสุด ก็หาคำง่ายๆ มาใช้กับสถานการณ์ฉุกเฉินน้ำทะลักเขื่อนให้คนเข้าใจด้วย งานแบบนี้ต้องเอาคนเป็นหลัก ไม่ใช่หน้าตาราชการเป็นหลัก
...ในท่ามกลางสายฝน มีอะไรแปลกๆ อะไรที่ไม่ตื่นไปสวดมนต์ให้ตื่น อะไรที่ควรต้องเต้นดันบอกไม่ต้องเต้น.. ปกติดี ทั้งที่ดาวเทียมโชว์ผลกระทบวงกว้าง”
3) อาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ โพสต์เฟซบุ๊คว่า
“...ดูข่าวน้ำท่วมลพบุรีแถวลำนารายณ์ ลำสนธิ
...สงสารคนลำนารายณ์ ชัยบาดาล ลำสนธิ ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดลพบุรี โดนน้ำท่วมแบบน้ำป่าไหลมาจากภูเขา เพราะฝนหนักจากดีเปรสชั่นเคลื่อนผ่าน รอบๆชุมชนเป็นเนินชัน มีแต่ไร่พืชเชิงเดี่ยวไม่มีอะไรช่วยต้านน้ำ แต่ก็ถือเป็นภัยพิบัติที่มากับพายุ ไม่ได้มาประจำทุกปี
...ภัยพิบัติแบบนี้ วิธีการลดผลเสียหายเดือดร้อน คือ การเตือนภัย จาก ปภ. หรือ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประสานกับฝ่ายปกครอง วิเคราะห์ และประเมินการเตือนภัย และเตรียมเยียวยาฟื้นฟูซึ่งผมไม่ทราบว่าทำกันได้ดีขนาดไหน
...แต่เท่าที่ฟังข่าวหลายช่องแทบไม่มีใครใช้แผนที่อธิบายทางน้ำเลยว่า ส่วนไหนจะไปเขื่อนป่าสักที่ก่อนพายุมาขาดน้ำขั้นวิกฤต จะได้น้ำจากนี้ไปเติมเท่าไหร่ และน้ำจากป่าสักสำหรับพายุลูกนี้ยังไม่มีปัญหา และน้ำส่วนไหนของฝนหนักที่จะเลยไปถึงทุ่งลพบุรี ที่ยังไม่มีน้ำมากนัก ทุ่งบ้านแพรก ทุ่งมหาราช สองฝั่งแม่น้ำลพบุรี ที่แทบยังไม่มีน้ำท่วมเลย ...ขณะที่สถานการณ์
สุโขทัย ที่น้ำท่วมแทบไม่ได้มาจากแม่น้ำยมจากทางเหนือแต่เป็นน้ำบ่าเข้ามาจากลุ่มน้ำโดยรอบเนื่องจากพายุใหญ่ผ่านเช่นกัน และน้ำจากสุโขทัยก็จะลงทุ่งบางระกำ ที่เป็นพื้นที่รับน้ำได้ ก่อนจะรวมกับแม่น้ำน่านซึ่งยังไม่มีน้ำมากนัก มารวมกันที่นครสวรรค์ และผ่านมาบึงบอระเพ็ดที่ยังรับน้ำได้
...ปล่อยข่าวให้คนมโนไปว่ามวลน้ำจะมา แค่ใช้ศัพท์มวลน้ำมาคนก็คิดว่าจะมาตามประสบการณ์ของตัวเองไหม
...ไม่มีใครมาพูดให้รู้เรื่องทั้งๆที่น้ำท่วม 54 ก็เพิ่มคนรู้ เพิ่มความรู้กันตั้งเยอะ แต่ไม่เพิ่มวิธีการสื่อสารเลย
เช่นเดียวกับน้ำท่วมระหว่างถนนที่ใช้เป็นคันกั้นน้ำสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ประคองน้ำไม่ให้ท่วมออกมา ถ้าน้ำยังแค่นี้ และพามวลน้ำท่วมที่แคบๆที่ว่ามาระบายออกระบบคลอง ที่แบ่งน้ำออกไปทางข้างกระจายไปทุ่งนั้นทุ่งนี้ หรือมาถึงอยุธยา ปทุมก็มีระบบคลองแบ่งน้ำลดระดับออกไปกี่คลองซึ่งตามปกติ น้ำแค่นี้ยังรับได้สบายๆ ถ้าเขื่อนเจ้าพระยายังระบายเท่านี้
...หน่วยงานราชการทางการก็ไม่มีช่องทางอธิบาย หรือมีมืออาชีพมาอธิบายแล้วคนฟังแล้วมั่นใจ เชื่อถือ รู้เรื่อง เหมือนเดิม”
4) นำข้อความจาก 3 ท่านนี้มา เพื่อจะบอกกับนายกรัฐมนตรีว่า หัดพัฒนา “การสื่อสารในสถานการณ์วิกฤต” ให้มันทันเหตุทันการณ์ และช่วยให้คนเข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงโดยรัฐบ้างเถอะครับ
อย่าลืมว่า...
1.รัฐ มีสื่อของรัฐ ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ โทรทัศน์-รวมการเฉพาะกิจ และสื่อในแพลตฟอร์มอื่นๆ
2.รัฐเป็นผู้กุมข้อมูลและผู้รู้อยู่ในมือ
3.รัฐเป็นผู้กำหนดแผนการจัดการรับมือและแก้ไขปัญหา
4.รัฐมีงบประมาณรองรับการจัดการ
แต่สิ่งที่รัฐขาด คือ วิสัยทัศน์และสัญชาตญาณในการสื่อสาร
วายป่วงตั้งแต่เรื่องวัคซีนมา ไม่เคยเรียนรู้เลยหรือครับ ว่าการกำหนดความรับรู้ของคนให้อยู่กับ “ข้อมูลจริง ที่เข้าใจง่าย ไม่ตื่นตระหนก และให้ความร่วมมือ” คือ หัวใจหนึ่งในบทบาทของรัฐและผู้บริหาร
ฝากชีวิตของรัฐไว้กับโลกออนไลน์ ฉิบหายมากี่เรื่องแล้ว
สื่อทั่วไป ก็ใช่จะมีความรู้รอบ มีข้อมูล และห่วงหาอาทรประชาชน นอกจากเห็นประชาชนเป็น “เรตติ้ง”
รัฐและผู้บริหารรัฐจึงต้องมีวิสัยทัศน์และสัญชาตญาณของการใช้การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเป็นเครื่องมือจัดการสังคมที่ฉลาดกว่านั่งเถียงเรื่อง “สวดมนต์”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี