ภายหลังการขยับตัวของพล.อ.ประยุทธ์ ที่ปรับตัวสู่บทบาทการเมืองมากขึ้น ทั้งการพบปะ สส. และลงพื้นที่ ประจวบกับอุทกภัยในหลายพื้นที่ที่ทำให้นายกฯ ได้ลงพื้นที่รับฟังปัญหาและประสานการทำงานร่วมกับทุกระดับ ทั้ง สส. ผู้แทนท้องถิ่น และข้าราชการ ก็ทำให้เห็นความพยายามในการปรับตัวของนายกฯ เพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลไว้ต่อไป ซึ่งคาดว่าจะอยู่ได้จนครบวาระ แม้จะมีข่าวว่าเสถียรภาพรัฐบาลนั้นไม่ดีด้วยศึกภายในพรรคพลังประชารัฐที่ผ่านมาจนต้องมีการปรับครม. ออก 2 ท่าน แต่ภายหลังปัญหาดังกล่าวก็ยังไม่ถึงกับการทำให้รัฐบาลล่มอย่างที่ว่ากัน แต่ที่น่าจะกระทบมากที่สุดคือปัญหาเศรษฐกิจ และโควิด-19 ที่รัฐบาลยังไม่สามารถแก้ได้ และกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อนายกฯและรัฐบาลโดยตรง
ก็เป็นที่มาของการปรับกระบวนทัพในการบริหารสถานการณ์โควิด-19 อีกครั้งหนึ่งโดย มติครม.ล่าสุดเมื่อวานนี้ก็ยังคงต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีกสองเดือน แต่มีการปรับลดมาตรการโดยลดเวลาเคอร์ฟิวให้ลดลง เป็น สี่ทุ่มถึงตีสี่ และขยายเวลาการเปิด-ปิดของห้างต่อไปอีกถึงสามทุ่ม และคาดว่าจะทยอยปรับลดมาตรการควบคู่ไปกับการประเมินสถานการณ์ เพื่อปูทางไปสู่การยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินในเร็วๆ นี้ และปรับไปใช้ พ.ร.บ.ควบคุมโรคที่เหมาะสมกว่าในการบริหารสถานการณ์ ซึ่งจะทำให้ ศบค. สิ้นสภาพลงและเปลี่ยนไปใช้ศูนย์อำนวยการโรคติดต่อแห่งชาติหรือ ศรช. เข้ามามีบทบาทแทน ซึ่งจะตรงจุดในการบริหารสถานการณ์มากกว่า ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงก็จำเป็นต้องลดบทบาทลงและให้ฝ่ายสาธารณสุขได้เข้ามาวางอำนาจบริหารมากขึ้น เพราะการบริหารสถานการณ์ก็ต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับโรคมากขึ้น มาตรการการล็อกดาวน์ หรือปิดเมืองที่ต้องอาศัยอำนาจของฝ่ายความมั่นคงมากๆก็ไม่ใช่แนวทางที่จะใช้ในระยะยาวเพราะมีผลกระทบทางเศรษฐกิจมาก แต่ต้องปรับเปลี่ยนมาสู่การอยู่ร่วมกับโรคให้ได้มากกว่า ซึ่งก็ดูเป็นทิศทางที่ดีที่รัฐบาลมองเห็นทางออกเช่นเดียวกับที่ประชาชนหลายคนรู้สึก และอยากให้เป็นเช่นนั้น
การปรับเรื่องการบริหารสถานการณ์ในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญในการผลักดัน พ.ร.บ.ควบคุมโรคฉบับใหม่แต่มีผลทางอ้อมในการกอบกู้ศรัทธาจากประชาชน โดยการยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ใช้มาสักพักใหญ่ ที่ผ่านมาในช่วงต้นเกิดกระแสตอบรับที่ดีจากประชาชนในการควบคุมการจัดการโรค แต่หลังจากใช้มานานกลับมีผลกระทบต่อการดำเนินวิถีทางเศรษฐกิจของประชาชน ประกอบกับหลังจากคลื่นลูกใหญ่ที่ถาโถมใส่ พล.อ.ประยุทธ์กระแสการล้มนายกฯ ในช่วงก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จนมาช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาที่เกิดอะไรบางอย่าง ที่หลายคนเชื่อว่าทำให้นายกฯได้เข้าใจการเมืองมากขึ้นและเล่นเกมเป็นมากขึ้น มากขึ้นถึงขนาดที่นายกฯมีความมั่นใจว่ารัฐบาลจะอยู่ครบวาระ ที่เป็นเช่นนี้เพราะปัจจัยด้านการเมืองก็เอาอยู่แม้จะมีปัญหาบ้าง แต่ที่สำคัญคือแขนขาของฝ่ายการเมืองนั่นคือข้าราชการประจำก็ได้ถูกจัดวางไว้อย่างเหมาะสมแล้ว ประกอบกับวงรอบเดือนตุลาคมที่สิ้นสุดปีงบประมาณ ก็เป็นโอกาสในการจัดสรรเก้าอี้ และจัดการให้ข้าราชการที่ออกนอกลู่นอกทางให้กลับเข้าตามทางเดิมได้ นี่หรือไม่? แต่ที่ว่าเอาอยู่น่าจะกินความหมายมากกว่าคุมระบบบริหารราชการ แต่ในพรรคร่วมรัฐบาลก็ถือได้ว่าคุมอยู่หมัดทั้งประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย เหตุเพราะอะไรบางอย่างในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาหรือไม่? หรือคดีต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นเร็วๆ นี้หรือไม่?ก็ยังไม่มีใครรู้ แต่เอาอยู่ที่สำคัญอีกอันคือเอาอยู่ในพรรคพลังประชารัฐเอง
ศึกภายในขั้วพลังประชารัฐในรอบที่ผ่านมาเป็นตัวแปรหนึ่งที่สำคัญต่อรัฐบาล ด้วยความเป็นพรรคใหญ่แกนนำจัดตั้งรัฐบาล และเป็นพรรคที่ประกอบจากหลายกลุ่มหลายก้อน ทำให้ที่ผ่านมามีการปรับกรรมการบริหารพรรคหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อกลุ่มอำนาจหลัก แต่ความขัดแย้งล่าสุดที่เกิดขึ้นในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา อาจถือได้ว่าก่อให้เกิดผลต่อกลุ่มอำนาจหลักเป็นครั้งแรก และเป็นช่องให้กลุ่มอื่นได้ขึ้นมาบทบาทมากขึ้นจริงๆ ซึ่งนับไปวิกฤตเกิดขึ้นกลับกลายเป็นโอกาสให้พรรคพลังประชารัฐได้ปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่หรือไม่ ต้องรอดูการตัดสินใจของพลเอกประวิตร หรือพลเอกประยุทธ์ ดี?
ความขัดแย้งที่กลายเป็นโอกาสนี้ ในการเปิดพื้นที่ให้พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกฯ อย่างเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นในขณะที่บางคนอาจมองว่าหากพล.อ.ประยุทธ์จะคิดเข้าไปกำกับดูแลพรรคพลังประชารัฐตอนนี้สายเกินไปหรือไม่?
แม้ที่ผ่านมาการเมืองทั้งนอกพรรคและในพรรคพลเอกประยุทธ์มีพี่ใหญ่อย่างพล.อ.ประวิตรช่วยสนับสนุนหรืออาจเรียกว่ากำกับดูแลอยู่ และแน่นอนว่าระหว่างพี่น้อง 3 ป. ก็ไม่มีรอยร้าวหมางใจอย่างที่ลือกัน ที่แม้ว่าพล.อ.ประยุทธ์จะเป็นคนลงดาบขุนศึกอย่างร.อ.ธรรมนัส คนสนิทพล.อ.ประวิตรก็ตาม แต่ความขัดแย้งหมางใจระหว่างกันก็ไม่ได้เกิดขึ้น แต่การที่เลขาพรรคฯ อย่างร.อ.ธรรมนัสที่ตอนนี้ล่องลอยอยู่แม้จะบอกว่าอยู่พลังประชารัฐเพื่อช่วยงานต่อ แต่ข้างในจะเป็นอย่างไร 3 ป. เท่านั้นที่รู้ดี ที่ว่า3 ป. ยังเหนียวแน่นเหมือนเดิมจึงเป็นเรื่องจริง แต่รูปแบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจจะเปลี่ยนรูปแบบไปอย่างไรนั้น สถานการณ์จะพาไปให้เราได้เห็นเร็วๆ นี้
การลงพื้นที่ของพลเอกประยุทธ์ ในการพบปะประชาชนต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สามแล้ว จนมาสู่การลงพื้นที่ช่วยอุทกภัยทางภาคกลางและภาคอิสาน ที่ล่าสุดไปลงพื้นที่สุโขทัย ถิ่นรมต.สมศักดิ์ แต่ที่น่าสนใจคือที่นายกฯจะไปลงพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ 30 กันยายนนี้ มีข่าวว่าจริงๆ วันนั้นมีกำหนดการของพลเอกประวิตร ต้องไปลงพื้นที่นครราชสีมาเช่นกัน แต่เหตุใดจึงต้องขยับวันออกเป็นวันที่ 1 ตุลาคม โดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากให้กระทบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ราชการที่ต้อนรับ?
แม้ว่าการควบคุมพรรคจะเป็นเรื่องของพี่ใหญ่ประวิตร แต่ก็เริ่มได้เห็นแนวทางของพล.อ.ประยุทธ์ที่เริ่มเดินในพรรค รวมทั้งที่มีกระแสข่าวที่ว่าจะมีการเตรียมแต่งตั้งนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และนายพีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ที่หลายคนก็ตั้งคำถามว่ามีนัยแอบแฝงหรือไม่? โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายพีระพันธุ์ที่ปัจจุบันยังไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐแต่อย่างใด อย่าลืมว่า นายพีระพันธ์ุ เป็นคนที่พลเอกประยุทธ์ไว้เนื้อเชื่อใจมาก และที่ผ่านมาก็ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง อาทิ ที่ปรึกษานายกฯฝ่ายการเมือง เป็นต้น และมีบทบาทสำคัญอย่างมากในงานหลังบ้านที่ผ่านมา ซึ่งหากมีการแต่งตั้งจริงงานนี้ก็จะทำให้พลเอกประยุทธ์เข้ามามีบทบาทโดยตรงในพรรคพลังประชารัฐมากขึ้น และทำให้การเชื่องโยงระหว่างพลเอกประยุทธ์กับพรรคการเมืองไหลลื่นมากขึ้น ซึ่งนั่นจะสะท้อนบทบาทและอิทธิพลของพลเอกประยุทธ์ที่อาจเพิ่มมากขึ้นในอนาคต รวมถึงการปรับโครงสร้างอื่นๆ ในพรรคพลังประชารัฐหลังจากนี้
มีการตั้งประเด็นถึงการตั้งพรรคใหม่ เพื่อให้แนวทางและการทำงานสอดคล้องกับเส้นทางการเมืองในอนาคต ทั้งการจัดระเบียบในพรรคพลังประชารัฐให้คล่องตัวหลังจากนี้อาจกระทบต่อคนหรือกลุ่มคนบางส่วนรวมถึงอาจมีการเปิดทางให้คนใหม่ๆ ตลอดจนคนเดิมของที่อื่นได้มีช่องในการเดินมาร่วมงานได้ง่ายขึ้น
การเคลื่อนไหวของพล.อ.ประยุทธ์ หลังการรับน้องทางการเมืองที่หนักหน่วง อาจกำลังเป็นโอกาสในการปรับตัวและปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐที่จะกลายเป็นสถาบันการเมืองเต็มรูปแบบที่มีการแข่งขันกันจริงๆ ภายในพรรค และอาจเป็นการเปิดโอกาสให้สร้างนักการเมืองรุ่นใหม่ที่พร้อมมากขึ้น นี่คือสิ่งที่ต้องติดตามว่าอนาคตภายใต้พลเอกประยุทธ์ใหม่จะเดินต่อไปอย่างไรในการเลือกตั้งครั้งหน้า และอาจได้เห็นว่าพลังประชารัฐจะเป็นพรรคใหญ่แข่งขันกับเพื่อไทยได้หรือไม่?.......
“ความสุขเป็นสิ่งที่ประหลาดยิ่ง หาได้ลดน้อยเพราะท่านแบ่งปันแก่ผู้อื่นไม่
บางครั้ง ท่านยิ่งแบ่งปันแก่ผู้อื่นมากขึ้น ความสุขที่ตนเองได้รับ ก็จะมากยิ่งขึ้น
(โกวเล้ง จาก ดาบมรกต)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี