นโยบายเปลี่ยนโลก ณ ที่นี้หมายถึง การเปลี่ยนแปลงสังคมโลก โดยเฉพาะประเทศต่างๆ ให้เป็นสังคมเสรีประชาธิปไตย ไม่มีการเมืองการปกครองในรูปแบบของเผด็จการใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งการมุ่งนำการเปลี่ยนแปลงนี้ก็เป็นเรื่องของฝ่ายตะวันตก โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นหัวหอกอันสำคัญ
เรื่องนี้ก็สืบเนื่องมาจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตเมื่อปลายปี ค.ศ. 1991 ซึ่งนำมาสู่ความพ่ายแพ้ของระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ต่อฝ่ายโลกเสรีประชาธิปไตย
เมื่อระบอบคอมมิวนิสต์พ่ายแพ้ก็เกิดมีความคิดในแวดวงวิชาการ สื่อ และฝ่ายการเมืองว่า โลกจะไม่มีการต่อสู้ทางอุดมการณ์ทางการเมืองอีกแล้ว เพราะทางฝ่ายโลกเสรีประชาธิปไตยได้รับชัยชนะ และฉะนั้นโลกทั้งโลกก็คงจะมุ่งไปสู่ความเป็นเสรีประชาธิปไตยกันถ้วนหน้า จึงเกิดความคิดว่าจะต้องมีการดำเนินการขับเคลื่อนเพื่อจะเปลี่ยนแปลงทั้งโลกให้เป็นเสรีประชาธิปไตย โดยการที่ฝ่ายตะวันตกจะเข้าไปช่วยเปลี่ยนแปลงทั้งโดยการแทรกแซง โดยการขับไล่รัฐบาลหนึ่งใดที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งในภาษาอังกฤษได้ใช้คำว่า Regime Change
จนกระทั่งเหตุการณ์ขับเครื่องบินพาณิชย์เข้าพลีชีพชนตึกศูนย์การค้าโลกที่นครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2011 ซึ่งเป็นการกระทำที่เรียกว่า การก่อการร้ายสากล ฝ่ายตะวันตกที่นำโดยสหรัฐอเมริกาก็ได้ตัดสินใจมุ่งมั่นที่จะเข้าไปปราบปรามทำลายล้างขบวนการก่อการร้ายหัวรุนแรงต่างๆ ไม่ว่าจะอยู่ในแห่งหนตำบลใดบนโลก
โลกจึงได้เห็นการล้มล้างรัฐบาลเผด็จการที่อิรัก ซีเรีย อียิปต์ ลิเบีย และอัฟกานิสถาน เป็นต้น โดยการบุกรุกรุกราน โจมตีของฝ่ายตะวันตกยังควบคู่ไปกับการต่อต้านและปราบปรามการก่อการร้ายสากลอีกด้วย ด้วยข้ออ้างที่ว่ารัฐบาลเผด็จการเหล่านี้เป็นแหล่งซ่องสุม หรือไม่ก็บ่มเพาะ หรือไม่ก็สนับสนุนการก่อการร้ายต่างๆ เพื่อบ่อนทำลายประเทศพันธมิตรของฝ่ายตะวันตกและการสร้างความปั่นป่วนภายในประเทศตะวันตกอีกด้วย
แต่กลับปรากฏว่า เมื่อมีการขับไล่ หรือล้มล้างรัฐบาลเผด็จการหนึ่งใดไปแล้ว เสรีประชาธิปไตยก็ยังไม่สามารถที่จะบ่มฟักตัวได้ เนื่องจากมีประเด็นปัญหาอื่นๆ ประดังเข้ามา คือความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์ ความขัดแย้งระหว่างนิกายต่างๆ ในศาสนาเดียวกัน โดยเฉพาะศาสนาอิสลาม อีกทั้งการขัดแย้งในเรื่องอุดมการณ์ว่าด้วยการนำหรือไม่นำเอาคำสั่งสอนทางศาสนา และการตีความเข้ามาเป็นกฎเกณฑ์ การเมืองและการปกครอง ทั้งหมดนี้ได้ก่อให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การสุดโต่งของการนับถือศาสนา สงครามกลางเมือง และการพลัดถิ่นประชาชนพลเมือง ที่แปรสภาพเป็นผู้อพยพลี้ภัยเข้าไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศที่ดึงดูดใจ เพราะมีระดับความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจที่มั่นคงดีกว่า เรื่องอพยพลี้ภัยก็ขยายตัวกลายเป็นปัญหาระดับโลก ควบคู่ไปกับประเด็นปัญหาว่าด้วยการปกป้องและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
ความคาดหวังและความปรารถนาของฝ่ายตะวันตกที่จะได้เห็นการแพร่ขยายของสังคมเสรีประชาธิปไตยหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต และลัทธิคอมมิวนิสต์จึงมิได้เกิดขึ้นจริง เพราะโลกกลับได้เห็นแต่ความปั่นป่วนอลเวง ความยากไร้ และการสูญเสียต่างๆ โดยเฉพาะชีวิต และอนาคตที่ไร้จุดหมาย
ความไม่สามารถที่จะให้ได้มาซึ่งการเปลี่ยนรูปโฉมโครงสร้างและเนื้อหาทางการเมือง รวมไปจนถึงการปราบปรามความสุดโต่งหัวรุนแรงของการก่อการร้ายได้ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อรัฐบาลสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำพาของประธานาธิบดีคนปัจจุบัน นายโจ ไบเดน ได้ตัดสินใจถอนกำลังออกจากอัฟกานิสถานทั้งหมดให้แล้วเสร็จในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งเป็นนัยของการยอมรับของการพ่ายแพ้ว่า การใช้กำลังเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองเผด็จการหนึ่งใด เพื่อให้เป็นเสรีประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่วิถีทาง โดยเฉพาะการที่คนต่างชาติจะไปบอกให้คนในชาตินั้นๆ เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ก็มิใช่เรื่องที่ควรและไม่ง่ายที่จะให้เป็นไปได้ อีกทั้งการปราบปรามการก่อการร้ายนั้น เป็นเรื่องของงานข่าวกรองและเป็นเรื่องของการสู้รบแบบจรยุทธ์มากกว่าการจัดตั้งเป็นกองทัพทหาร และทำการสู้รบแบบมีแนวรบเผชิญหน้ากัน
นอกจากนั้น การจะเสนอข้อคิดเห็นใดๆ จะต้องมีการสร้างความเข้าอกเข้าใจให้กับประชาชนเป็นสำคัญ และจะต้องมีการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมควบคู่ไปด้วย ซึ่งหมายถึงการยกระดับคุณภาพชีวิต อาชีพ และสาธารณูปโภคต่างๆ ในประเด็นนี้ แม้สหรัฐอเมริกาได้เข้าไปบงการอยู่ในอัฟกานิสถานถึง 20 ปี แต่ก็มุ่งใช้กำลังเป็นหลักในการต่อสู้และปราบปรามขบวนการตาลิบัน แต่มิได้ช่วยสร้างชาติและรัฐอย่างจริงจัง ทั้งที่ได้เคยมีประสบการณ์ในการฟื้นฟูเยอรมนี และญี่ปุ่นเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
การคงอยู่ของสหรัฐอเมริกาจึงมีลักษณะของการครอบงำด้วยกำลังทหาร (Military Occupation) มากกว่าการเข้าไปเป็นมิตรร่วมมือร่วมใจร่วมแรง (Partnership) อีกทั้งได้มีการปล่อยปละละเลยในเรื่องเงินช่วยเหลือที่หายไปกับการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างใหญ่หลวง โดยรัฐบาลอัฟกานิสถานที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาค้ำจุนอยู่
สรุปได้ว่า สหรัฐอเมริกาไม่สามารถครองใจชาวอัฟกานิสถานได้ ขณะที่ฝ่ายขบวนการตาลิบันก็มีความมุ่งมั่นในการปลดแอกอัฟกานิสถานจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งต่างใช้ชีวิตอยู่กับดินกับทราย ไม่แตกต่างจากประชาชนพลเมืองโดยทั่วไป ถึงแม้ว่าจะได้สร้างความหวาดกลัวในความสุดโต่งทางเรื่องการเมืองศาสนานิยมแต่ในระดับหนึ่งก็ได้ใจประชาชนพลเมืองว่า ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และไม่โกงกินบ้านเมือง และไม่ยอมเป็นขี้ข้าคนต่างชาติ
ความพ่ายแพ้ของฝ่ายตะวันตก นำโดยสหรัฐอเมริกาในอัฟกานิสถาน และความยุ่งเหยิงที่ได้ก่อขึ้นในอิรัก ในซีเรีย หรือในลิเบียก็ดี ก็คงจะเป็นเรื่องอันสำคัญที่จะได้มีการทบทวนนโยบายเปลี่ยนแปลงโลกดังกล่าว โดยเฉพาะประเด็นที่ว่าบ้านเมืองของใครก็ต้องแก้ไขกันเอง ส่วนต่างชาติจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าการร้องขอหรือแสดงความประสงค์ที่จะขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศ มิใช่เป็นกรณีการที่ต่างชาติจะต้องยัดเยียดตนเองให้กับประเทศนั้นๆ
อีกทั้งการขจัดรัฐบาลเผด็จการหนึ่งใด มิได้ก่อให้เกิดความเป็นอัตโนมัติของการเกิดขึ้นของสังคมเสรีประชาธิปไตย เพราะในสังคมหนึ่งใดก็มีความแตกต่างหลากหลาย มีผู้เล่น หรือกลุ่มผลประโยชน์อื่นมากมาย ซึ่งเขาเหล่านี้ก็ต้องพูดจากันเองว่า จะสร้างชาติกันใหม่อย่างไร และต่างก็ต้องคำนึงว่าการใช้อาวุธประหัตประหารกันมิใช่ทางออก และเป็นผลเสียร่วมกันทั้งชาติ
มีแบบอย่างการแก้ไขปัญหาที่ดีในหลายประเทศ เช่นที่ ซูดาน โซมาเลีย รวันดา ที่กลุ่มการเมืองชนเผ่า และกองทัพใช้สันติวิธีโดยการหันหน้าเข้าหากัน และหาข้อยุติ วางกติกากลาง เพื่อร่วมกันประคับประคองและสร้างชาติ ทั้งนี้โดยฝ่ายตะวันตก หรือประเทศพัฒนาแล้ว ก็อยู่ในวิสัยมีบทบาทสร้างสรรค์ได้ โดยเฉพาะการช่วยเหลือพัฒนาบุคลากร การช่วยเหลือพัฒนาโครงสร้าง และความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม เป็นต้น
ฝ่ายตะวันตกโดยองค์รวมก็ยังมีความมั่งคั่ง มีจิตใจที่จะช่วยเหลือเผื่อแผ่ ฉะนั้น บทเรียนล่าสุดจากอัฟกานิสถาน ก็คงจะเป็นที่หวังกันได้ว่า ฝ่ายตะวันตกจะมีการปรับนโยบายต่างประเทศ และกระบวนยุทธ์ในการคบหาสมาคมกับประเทศต่างๆ ด้วยการให้ความร่วมมือช่วยเหลือมากกว่าการเข้าไปแทรกแซง หรือการใช้กำลังเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามความต้องการของตนเองเป็นที่ตั้งมากกว่าความต้องการและผลประโยชน์ของประชาชนของประเทศนั้นๆ
ส่วนในสังคมประเทศต่างๆ ซึ่งก็มีความหลากหลายเป็นพหุวัฒนธรรม ก็จะต้องมีบทเรียนว่า จะปล่อยให้ชนชาติพันธุ์หนึ่งใดหรือกลุ่มเชื่อถือทางศาสนาหนึ่งใดครอบงำกลุ่มอื่นๆ มิได้ แต่ต้องคิดอ่านที่จะอยู่ร่วมกันอย่างอะลุ้มอล่วย ถ้อยทีถ้อยอาศัยเป็นสำคัญ
การให้ทุกหมู่เหล่ามีพื้นที่หรือที่ยืนในสังคมนั้นๆ อย่างทัดเทียมและเสมอภาค เป็นเรื่องที่สำคัญไม่มีกลุ่มมนุษย์ใดต้องการอยู่ในสถานะที่ด้อยกว่าหรือถูกกดขี่ หรือถูกให้คิดว่าไม่ได้รับความยุติธรรมซึ่งโลกก็คงจะถึงเวลาแล้วที่จะให้มีการยอมรับซึ่งกันและกัน และร่วมกันขจัดความรู้สึกของความได้เปรียบเสียเปรียบออกไปจากความนึกคิดใดๆเพื่อจะได้ร่วมกันก้าวไปข้างหน้ากันได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี