“พายุมาลูกเดียวก็ท่วมจะตายอยู่แล้ว สวดมนต์ภาวนา ขออย่ามาอีกเลย” นายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดเปรยๆกับชาวบ้านขณะที่ตรวจเยี่ยมเตรียมการรับมือน้ำท่วม ที่ อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัย
เป็นคำพูดธรรมดาสามัญแบบไทยๆ เพื่อให้กำลังใจและปลอบใจกันยามตกทุกข์ได้ยาก และเป็นคำติดปากของคนไทยเมื่อเห็นคนเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ว่าภาวนาขอให้ปลอดภัยให้หายไวๆ ก็เหมือนกับที่ฝรั่งพูดติดปากว่า God bless you หรือ Oh my God
แต่คำพูดเปรยๆ แบบคนไทยที่นับถือพุทธศาสนา กลับถูกฝ่ายค้านยกขึ้นมาด่าว่า วิจารณ์ว่ารัฐบาลไร้สติปัญญาแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำหลากได้แต่สวดมนต์ภาวนาแก้ปัญหาน้ำท่วมไม่ได้หรอก
การวิจารณ์หรือตำหนิด่าว่ารัฐบาลอย่างไร้สาระ มันบอกถึงสติปัญญาและวุฒิภาวะของฝ่ายค้าน ว่าไม่มีปัญญาหาหลักฐานการกระทำความผิดของรัฐบาลได้ แต่มีหน้าที่ด่าก็ด่าได้ทุกประเด็น
ถ้าอยู่กับความเป็นจริง และมีสติปัญญาต้องเข้าใจว่าภาวะน้ำท่วม น้ำหลากมันอยู่คู่กับประเทศไทยมามันเป็นร้อยปีแล้ว และมันอยู่ที่ว่ารัฐบาลแต่ละยุคสมัยบริหารจัดการน้ำอย่างไร เกิดความผิดพลาดเลินเล่อหรือไม่
ถ้าฝ่ายค้านไม่มัวแต่ประดิษฐ์คำด่ารัฐบาลแล้วหันกลับดูความผิดของตัวเองเมื่อคราวเป็นรัฐบาลและเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ที่ประเทศไทยประสบอุทกภัยครั้งรุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ตั้งแต่กลางปีจนถึงปลายปี และมีพื้นที่ประสบภัยกระจายตัวในทุกภาคโดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางที่เกิดน้ำท่วมหนักเป็นระยะเวลานาน
ยิ่งไปกว่านั้นพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล เป็นพื้นที่เกิดน้ำท่วมหนักที่สุดในรอบ 70 ปี หากนับจากเหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพมหานครในปี 2485 อุทกภัยครั้งนั้นส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างหนักทั้งทางภาคการเกษตร อุตสาหกรรม เศรษฐกิจ สังคม และส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังภาคส่วนอื่นอีกเป็นจำนวนมาก
พื้นที่ประสบอุทกภัยและมีการประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม 2554 จนเดือนพฤศจิกายน รวมทั้งสิ้น 65 จังหวัด ทั้งนี้ มีผู้เสียชีวิต 657 ราย สูญหาย 3 คน ราษฎรเดือดร้อน 4,039,459 ครัวเรือน 13,425,869 คน บ้านเรือนเสียหาย
ทั้งหลัง 2,329 หลัง บ้านเรือนเสียหายบางส่วน 96,833 หลัง พื้นที่การเกษตรคาดว่าจะได้รับความเสียหาย 11.20 ล้านไร่ ถนน 13,961 สาย ท่อระบายน้ำ 777 แห่ง
ฝาย 982 แห่ง ทำนบ 142 แห่ง สะพาน/คอสะพาน 724 แห่ง บ่อปลา/บ่อกุ้ง/หอย 231,919 ไร่ ปศุสัตว์ 13.41 ล้านตัว
นักวิชาการด้านบริหารน้ำและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเคยวิจารณ์ว่าอุทกภัยที่ร้ายแรงที่สุดเมื่อปี 2554 เกิดจากความประมาทและเกิดจากความผิดพลาดที่รัฐบาลบริหารจัดการน้ำเสียเอง แทนกรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตซึ่งมีหน้าที่โดยตรง
กล่าวคือทางกรมชลประทานและการไฟฟ้าผลิตพบว่าน้ำในเขื่อนมีมากเกินปริมาณต้องการ จำเป็นต้องค่อยๆระบายตั้งแต่ต้นเดือนก.ค. เพื่อเตรียมรับน้ำเพิ่มจากพายุลูกใหม่ที่คาดการณ์ว่าจะเข้ามาอีกห้าลูก
แต่ฝ่ายการเมืองไม่ยอมให้ระบายน้ำจากเขื่อนเพราะกลัวว่าจะท่วมนาข้าวชาวบ้านที่รอเก็บเกี่ยว ว่ากันว่านักการเมืองบางคนถึงกับเก็บกุญแจสำหรับเปิด-ปิดประตูระบายน้ำไว้กับตัวเอง ดังนั้นเมื่อพายุลูกใหม่เข้ามาทำให้เขื่อนต่างๆเกินความสามารถรับน้ำได้
การปล่อยน้ำจากเขื่อนอย่างเร่งรีบ จึงต้องทำการปล่อยน้ำจำนวนมากมหาศาลในทีเดียว มวลน้ำมหาศาลที่ปล่อยจากเขื่อนโดยฉับพลันประกอบกับพายุ 5 ลูกโหมเข้ามาทำให้หน่วยงานเกี่ยวข้องแก้ปัญหาไม่ทัน
ในภาวะฉุกละหุกที่น้ำท่วม 65 จังหวัดเกินความสามารถทุกหน่วยงานรับไหว แต่นายกฯในเวลานั้นยังพูดว่า “ยังเอาอยู่” คำว่าเอาอยู่ ทำให้คนวิจารณ์ไปต่างๆ นานาบางคนก็ตีความหมายไปสองแง่สามง่ามตามวิสัยของคนไทยที่มีอารมณ์ขันได้ในทุกภาวะ แต่ไม่ถึงกับด่าเสียๆหายๆ เหมือนฝ่ายค้านทำตอนนี้
สถานการณ์น้ำปีนี้ถ้าฟังข้อมูลจากกรมชลประธานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการบริหารจัดการน้ำ ก็มีข้อมูลเป็นทางการว่าอยู่ในภาวะที่รับน้ำได้อีกจำนวนมาก ดังนั้น การปล่อยน้ำให้ทะลักออกมาทีเดียวจำนวนมากมายมหาศาลคงไม่เกิดขึ้น
ส่วนน้ำฝนที่ตกใต้เขื่อนก็เป็นตามธรรมชาติของการบริหารน้ำทั่วๆไปแต่ไม่ถึงกับหนักหนาสาหัสเหมือนปี 2554 ผู้เขียนมั่นใจว่าถ้านักการเมืองไม่เข้าไปแทรกแซงสั่งการหรือเก็บกุญแจประตูปิด-เปิดประตูน้ำไว้กับนักการเมือง กรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตซึ่งดูแลเขื่อน และกรมอุตินิยมวิทยาบูรณาการงานกันต้องป้องกับอุทกภัยไม่ให้ร้ายแรงได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคาดการณ์ว่าน้ำท่วมปีนี้คงเป็นสถานการณ์น้ำหลากทั่วไปไม่กับขังแช่รอระบายอยู่ครึ่งปีเหมือนปี 2554
ประชาชนที่มีผลกระทบมีสิทธิร้องเรียน ระแวดระวังและวิภาควิจารณ์รัฐบาลได้แต่อย่าถึงกับด่าว่า หมดปัญญาแก้ปัญหาเลยให้ประชนสวดมนต์ป้องกันน้ำท่วม
เพราะการสวดมนต์ภาวนาเป็นเหมือนกับอุปาทานช่วยให้สติมาปัญญาเกิด แก้ไขให้เหตุร้ายกลายเป็นดีได้
ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์ตรงเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2554 ผู้เขียนถูกทหารเขมรจับกุมในจังหวัดพระวิหารของกัมพูชาและคิดว่า การภาวนาในใจทำให้พ้นคุกพ้นตะรางเขมรมาได้
ปี 2554 ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยกับกัมพูชามีปัญหาขัดแย้งกันเรื่องเขาพระวิหาร ถึงขั้นปะทะกันด้วยอาวุธหนักและมีคนตาย Tv One เป็นสถานีทีวีภาคภาษาอังกฤษของอินโดนีเซียรู้ว่าผู้เขียนทำข่าวสงครามกลางเมืองกัมพูชามานานเลยว่าจ้างให้เป็นโปรดิวเซอร์ในรายการ Hot News
ช่างภาพทีวีและผู้ประกาศข่าวสาวชาวอินโดนีเซียกับผู้เขียนเดินทางไปทำข่าวจากชายแดนไทยในจังหวัดศรีสะเกษและสุรินทร์เสร็จแล้ว ขอวีซ่าที่ด่านชายแดนโอร์เสม็ดเข้าไปทำข่าวในกัมพูชา โดยที่ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเขียนเป็นภาษาเขมรว่าพวกเราเป็นนักท่องเที่ยวขอวีซ่าเข้าไปจังหวัดเสียมเรียบ
เมื่อได้วีซ่าแล้วพวกเราเช่ารถแท็กซี่ถามว่าไปที่เขาพระวิหารได้ไหม แท็กซี่บอกว่าได้ แต่ระหว่างการเดินทางคนขับแท็กซี่พูดโทรศัพท์กับใครไม่ทราบบอกว่าเป็นอินโดนีเซียสองคน คนไทยหนึ่งคน พอไปถึงเขาพระวิหารปรากฏว่ารถแท็กซี่ขึ้นไปที่ปราสาทพระวิหารไม่ได้ เพราะทางขึ้นเขาฝั่งกัมพูชาเป็นถนนลูกรังคดเคี้ยวไต่ขึ้นไปตามไหล่เขา
คนขับแท็กซี่บอกให้พวกเรารอ ระหว่างเขาติดต่อเช่ารถโฟวีลให้ เรารออยู่ประมาณ 15 นาที รถโฟวีลก็มาถึงพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสองคน พวกเชิญขึ้นรถบอกว่าไปทำหนังสือขออนุญาตขึ้นปราสาทเขาพระวิหาร แต่พบว่าเจ้าที่ตรวจคนเข้าเมืองพาพวกเราไปส่งให้ทหาร
ในค่ายทหารพวกเราถูกแยกออกจากกัน นักข่าวอินโดนีเซียไปอยู่ห้องหนึ่ง ผู้เขียนถูกแยกออกมาสอบสวนคนเดียวในห้องที่มีทหารสี่คนอาวุธครบมือในเครื่องแบบคล้ายหน่วยอรินทราชของไทยควบคุมอยู่
คนที่สอบสวนเราพูดภาษาไทย กล่าวหาว่าเราเป็นสายลับให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เราให้หลักฐานบัตรนักข่าวและหนังสือเดินทางบอกว่าเป็นสื่อข่าวจริงๆ เขาไม่ฟังไม่เชื่อสิ่งที่เราให้การ ทั้งข่มขู่ทั้งตะคอกวกไปวนมากล่าวว่าเราเป็นสายลับให้ได้
หลังจากสอบสวนแบบข่มขู่อยู่ประมาณสองชั่วโมง เขาวิทยุไปหาใครไม่ทราบบอกว่าจะส่งเราเข้าพนมเปญ ด้วยความตกใจและกลัวทำให้เรา นึกภาวนาอยู่ในใจขอให้หลวงพ่อพันพระองค์ที่เราแขวนคอไว้ให้ช่วยเรารอดพ้นจากคุกเขมร หลังจากภาวนาในใจเรานึกมาได้ว่า ในโทรศัพท์เรามีรูปถ่ายคู่กับนายอภิสิทธิ์และรูปถ่ายที่อยู่กับทหารเขมรแดง
พอนึกถึงรูปถ่ายพวกนี้ที่อยู่ในศัพท์เราขออนุญาตไปเข้าส้วมอ้างปวดหนักเต็มที ทหารสองคนคุมเราอยู่หน้าประตูส้วม เราใช้เวลานั้นลบรูปในโทรศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับนายอภิสิทธิ์และทหารเขมรแดงออกทั้งหมด
กลับมาในห้อง เมื่อถูกสอบสวนต่อไปถึงจุดหนึ่งเขาขอตรวจโทรศัพท์ โชคดี ที่เราภาวนา ทำให้มีสติปัญญาลบรูปที่เกี่ยวข้องเสียก่อน หาไม่คงได้ติดคุกขี้ไก่ในเขมรนาน นั้นคือส่วนดีของการภาวนา
แต่เหตุผลสำคัญที่ทำให้เรารอดคุกมาได้อาจเป็นเพราะเขมรเกรงใจอินโดนีเซีย ทีมข่าวอินโดนีเซียบอกเราเมื่อมาถึงที่พักในจังหวัดสุรินทร์ว่า เขาโทรศัพท์ไปร้องเรียนกับทูตอินโดนีเซียในกรุงพนมเปญ ว่าทหารเขมรจับกุมทีมงาน Tv One ทั้งๆ ที่พวกเรามีวีซ่าเข้าประเทศถูกต้องตาม กฎหมาย ผู้เขียนไม่ทราบว่าทูตอินโดนีเซียประสานงานกับใครให้ปล่อยตัวเรา
แต่ที่แน่ๆ เราเชื่อว่ารัฐบาลกัมพูชาเกรงใจอินโดนีเซียเพราะว่าระหว่างที่ประเทศไทยขัดแย้งกับกัมพูชาเรื่องเขาพระวิหารทางยูเอ็นแต่งตั้งให้อินโดนีเซียเป็นผู้สังเกตการณ์ (Observer) ในข้อตกลงหยุดยิงไทย-กัมพูชา
สรุปว่าการสวดมนต์ภาวนา ทำให้สติมาปัญญาเกิด ดังนั้นอย่าตำหนิอย่าด่านายกฯ เรื่องสวดมนต์ภาวนา ถ้าจะด่ารัฐบาลมีเรื่องอื่นที่ผิดพลาดอีกมากมายแต่ฝ่ายค้านหาไม่เจอเอง
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี