“การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างไม่มีข้อจำกัดนั้นเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการเพิ่มพลังให้กับประชาชน ทำให้เอื้อให้เกิดการถกถามที่เป็นธรรม และสร้างโอกาสความเท่าเทียมให้กับทุกคน นอกจากนี้ยังเป็นพลังขับเคลื่อนให้เกิดความโปร่งใส ภาระรับผิดชอบ และธรรมาภิบาลด้วย และเป็นการกรุยทางให้กับสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภาษา การเข้าถึงความยุติธรรมต่างๆ รวมถึงความมีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญของประชาชนด้วย”
คำกล่าวของ ชิเกรุ อาโอยากิ (Shigeru Aoyagi)ผู้อำนวยการองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก-UNESCO)ประจำกรุงเทพฯ ในพิธีเปิดการประชุมและเสวนา (ออนไลน์)เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2564 ที่ผ่านมา เนื่องใน “วันสากลแห่งการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร (International Day for Universal Access to Information)” ซึ่ง ยูเนสโก กำหนดให้ตรงกับวันที่ 28 กันยายน ของทุกปี เพื่อเน้นย้ำความสำคัญของสิทธิด้านการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน อันเป็นกลไกสำคัญนำไปสู่การพัฒนาบริการสาธารณะที่ดี
กิจกรรมวันสากลแห่งการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ประจำปี 2564 นั้นร่วมจัดโดย ยูเนสโก และภาคีโคแฟค(ประเทศไทย) มีการเสวนาหัวข้อ คือ “กฎหมายเกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารในประเทศไทย” สำหรับประเทศไทยมีกฎหมาย พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 กฎหมายฉบับนี้เกิดขึ้นภายใต้หลักการ “เปิดเผยเป็นหลักปกปิดเป็นข้อยกเว้น” เนื่องจากสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเป็นหนึ่งในหลักสำคัญของประชาธิปไตย เป็นกลไกที่ภาคประชาชนจะใช้ตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ
ภาวนา ฤกษ์หร่าย ผู้อำนวยการส่วนนโยบายและวิเคราะห์ สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ (สขร.) กล่าวถึงสาระสำคัญของ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ซึ่งแบ่งข้อมูลข่าวสารที่สามารถเปิดเผยได้เป็น 3 ประเภท คือ 1.เปิดเผยเป็นการทั่วไป (มาตรา 7) เช่น เนื้อหาที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา อาทิ โครงสร้างอำนาจหน้าที่ของหน่วยงาน ตลอดจนกฎหมาย คำสั่ง กฎระเบียบต่างๆ ที่มีผลต่อเอกชน
2.จัดไว้ให้ประชาชนเข้าดูได้ (มาตรา 9) จะเกี่ยวข้องกับเรื่องความโปร่งใส เช่น การจัดซื้อจัดจ้างการให้บริการ งบประมาณ การบริหารงานบุคคล ข้อมูลเหล่านี้ประชาชนสามารถขอดูและขอคัดสำเนาได้ และ 3.ประชาชนใช้สิทธิขอตรวจดูเป็นการเฉพาะราย (มาตรา 11) นอกจากนี้ ยังมีกลไกการร้องเรียน การอุทธรณ์ ไปจนถึงการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง หากประชาชนเห็นว่าไม่ได้รับการอำนวยความสะดวกในการได้รับข้อมูลข่าวสารตามที่ร้องขอ และกฎหมายกำหนดให้เปิดเผยได้
พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 นั้นให้ความสำคัญกับทั้งประโยชน์สาธารณะและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น เคยมีกรณีผู้ต้องหาคดีฆาตกรรม ยื่นเรื่องต่อสู้คดีด้วยการขอให้โรงพยาบาลเปิดเผยข้อมูล DNA ที่เก็บได้จากซอกเล็บของผู้ตาย กรณีนี้คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร มีคำสั่งให้เปิดเผยภายใต้เงื่อนไขว่าให้ใช้เป็นหลักฐานในคดีดังกล่าวเท่านั้น อันเป็นการให้ความสำคัญกับทั้งสิทธิในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลย และสิทธิด้านข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตาย ทั้งนี้ การนำข้อมูลไปใช้นอกเหนือจากเงื่อนไขที่กำหนด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 20 ประกอบมาตรา 32)
ผอ.ส่วนนโยบายและวิเคราะห์ สขร. เปิดเผยว่า ในช่วง 5 ปีงบประมาณล่าสุด พบมีการยื่นเรื่องร้องเรียนกรณีขอให้หน่วยงานของรัฐเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปีงบประมาณ 2559 มีจำนวน 435 เรื่อง 2560 จำนวน 644 เรื่อง 2561 จำนวน 803 เรื่อง 2562 จำนวน 602 เรื่อง และ 2563 จำนวน 732 เรื่อง เช่นเดียวกับการยื่นอุทธรณ์ ปีงบประมาณ 2559 มีจำนวน 361 เรื่อง 2560 จำนวน 451 เรื่อง 2561 จำนวน 451 เรื่อง 2562 จำนวน 512 เรื่อง และ 2563 จำนวน 537 เรื่อง สะท้อนว่าประชาชนรับรู้สิทธิในเรื่องนี้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ยังมีปัญหาในเรื่องการบังคับใช้ โดยสื่อมวลชนอาวุโสจาก “สำนักข่าวอิศรา” ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ตั้งข้อสังเกตว่า หากเป็นหน่วยงานที่มีทัศนคติที่ดี การเปิดเผยข้อมูลตามที่กฎหมายกำหนดก็จะดำเนินการอย่างรวดเร็วและสะดวก เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แต่หากเป็นหน่วยงานที่ไม่อยากเปิดเผยข้อมูล ก็จะพยายามสร้างกระบวนการให้ยุ่งยากเข้าไว้เมื่อมีผู้จะไปขอให้เปิดเผยข้อมูล
อีกทั้งมีบางหน่วยงานแม้เปิดเผยข้อมูลแต่ก็นำไปใช้ได้ไม่สะดวก เช่น ให้เป็นไฟล์ PDF เป็นต้น ทั้งนี้ มีข้อเสนอว่า สขร. ควรย้ายออกจากสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อจะได้ไม่ต้องขึ้นกับรัฐบาล โดยหากกังวลกรณีการทำให้เป็นองค์กรอิสระ ก็อาจจะนำไปไว้กับผู้ตรวจการแผ่นดิน ในลักษณะที่ให้เติบโตไปด้วยกัน ขณะเดียวกันสขร. ต้องมีเป้าหมายการทำงานที่ชัดเจนและเป็นการทำงานเชิงรุก เช่น ปีนี้ติดตามหน่วยงานหนึ่ง ปีต่อไปติดตามอีกหน่วยงาน ให้ได้ข้อยุติของแต่ละหน่วยงานในเรื่องการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามที่กฎหมายกำหนด
ขณะที่ อดีตอนุกรรมการเฉพาะกิจ ตอบข้อหารือและวิทยากรบรรยายเกี่ยวกับการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 รศ.ดร.มารค ตามไท นักวิชาการ สถาบันศาสนาวัฒนธรรมและสันติภาพ มหาวิทยาลัยพายัพ ระบุว่า แม้จะผ่านมากว่า 23 ปี นับจากปี 2541 ที่ได้เข้าไปเป็นอนุกรรมการชุดดังกล่าว ก็ยังพบเห็นปัญหาประชาชนเข้าไม่ถึงสิทธิในเรื่องนี้เพราะไม่รู้ว่าตนเองมีสิทธิ ขณะเดียวกันก็พบเจ้าหน้าที่รัฐที่นอกจากจะไม่แจ้งว่าประชาชนมีสิทธิแล้ว ยังบอกด้วยว่าประชาชนไม่มีสิทธิ แล้วประชาชนก็เชื่อด้วยความไม่รู้
สำหรับบทบาทของอนุกรรมการชุดดังกล่าว รศ.ดร.มารค กล่าวว่า เป็นการให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งไม่ใช่แต่เพียงบทบัญญัติของกฎหมาย แต่ยังต้องสร้างความเข้าใจด้วยว่ากฎหมายฉบับนี้มีควาสำคัญอย่างไรกับประเทศไทย เพื่อให้เข้าไปอยู่ในจิตใจ อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนกฎหมายนี้ จะคืบหน้าได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลเห็นว่าการที่ประชาชนมีส่วนร่วมช่วยตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและหน่วยงานราชการ เป็นการสร้างสังคมที่เข้มแข็ง
สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” ยกเรื่องนี้มานำเสนอด้วยหวังให้เห็นถึงความสำคัญของการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานภาครัฐ และร่วมกันคิดว่า2 ทศวรรษที่ผ่านมาของกฎหมายข้างต้น มีอะไรต้องปรับปรุงบ้าง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี