วันก่อน มีการพูดถึง “แพนโดรา เปเปอร์ส” รายงานที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับรายชื่อผู้ถือครองบริษัทนอกอาณาเขต (offshore entities)
1. นางสาวปรางค์ทิพย์ ดาวเรือง สมาชิกเครือข่ายผู้สื่อข่าวสืบสวนสอบสวนนานาชาติ - ไอซีไอเจ (International Consortium of Investigative Journalists: ICIJ) ประเทศไทย ผู้สื่อข่าวพิเศษสำนักข่าวอิศรา เปิดเผยว่า ชื่อของคำว่าแพนโดรานั้นมาจากตำนานกรีก เป็นเรื่องของการเปิดกล่องที่กักเก็บความชั่วร้ายออกมา ใช้เป็นชื่อของโครงการการสอบสวนซึ่งทาง ICIJ นั้นทำร่วมกับผู้สื่อข่าวจำนวน 600 กว่าคนทั่วโลก
“แพนโดรา เปเปอร์ส เป็นการขุดคุ้ยและวิเคราะห์ฐานข้อมูลบริษัทออฟชอร์ หรือบริษัทนอกอาณาเขตที่จดทะเบียนและดูแลบริษัทนอกอาณาเขตซึ่งดูแลบริษัทของคนอื่นทั่วโลกจำนวน 14 แห่งซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะมาก บริษัทเหล่านี้ทำหน้าที่ว่าถ้าคุณเป็นลูกค้าคุณอยากจะมีบริษัทที่อยู่ในพื้นที่พิเศษซึ่งมีกฎหมายพิเศษคุ้มครองและก็ให้สิทธิพิเศษ ซึ่งเขาก็จะจดทะเบียนไว้ให้ จะขายให้ และก็จะดูแลให้ นี่คือบริษัททั้ง 14 แห่ง และบริษัทเหล่านี้ก็จะมีฐานข้อมูลลูกค้าโดยละเอียด ซึ่งปรากฏว่าแพนโดรา เปเปอร์ส นั้นเป็นฐานข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลกเกี่ยวกับบริษัทนอกอาณาเขตที่เคยตกถึงมือนักข่าว และใหญ่มากกว่าปานามา เปเปอร์ส ที่ถูกเปิดโปงในปี 2559”
ต่อข้อถามที่ว่า บริษัทนอกอาณาเขตคืออะไร ทำไมคนดังและผู้นำประเทศถึงได้ไปตั้งบริษัทอยู่ภายนอกประเทศ?
นางสาวปรางค์ทิพย์อธิบายว่า บริษัทนอกอาณาเขต มีความเป็นมาตั้งแต่สมัยที่อังกฤษล่าอาณานิคม ซึ่งต้องมีการหาความมั่งคั่งกลับไปให้ประเทศตัวเอง และหลังจากจบยุคอาณานิคม อังกฤษก็เลยมีวิธีหาเงิน ก็เลยมีคนคิดคอนเซ็ปต์เรื่องบริษัทนอกอาณาเขตขึ้น ซึ่งก็คือบริษัทที่ตั้งอยู่ในที่พิเศษในที่ต่างๆ ของโลก โดยพื้นที่เหล่านี้ก็มีกฎหมายทางพิเศษที่เอื้อกับเรื่องใหญ่ๆ 2 ข้อคือ 1.การไม่เก็บภาษี หรือเก็บภาษีที่ต่ำมากอยู่ที่ 0-5 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ภาษีรายได้ของประเทศทั่วๆไปนั้นจะสูงกว่านี้ ประการที่ 2.คือเรื่องการปกปิดข้อมูล
“ถ้าหากบริษัทของไทย จดทะเบียนในประเทศไทย ผู้อยากได้ข้อมูลก็สามารถที่จะไปขอได้ที่กระทรวงพาณิชย์ และถ้าหากอยู่ในตลาดหุ้น ทุกอย่างก็จะถูกเปิดเผย แต่บริษัทนอกอาณาเขตเหล่านี้กฎหมายของเขาคุ้มครองนักลงทุนจากต่างประเทศที่ไปตั้งบริษัทในพื้นที่ของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องบอกข้อมูลอะไรมากและไม่จำเป็นต้องบอกตัวตนเจ้าของที่แท้จริง และเขาก็จะมีโครงสร้างที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ โดยบางกรณีนั้นมีบริษัทนอกอาณาเขตถือครองความเป็นเจ้าของกันไปมาถึง 5 ชั้น และบริษัทสุดท้ายที่โดนถือครองนั้นเป็นผู้ที่ถือครองทรัพย์สินที่แท้จริง หรือใช้ในการทำธุรกรรมที่แท้จริง ถ้าหากบริษัทสุดท้ายนี้โดนจับได้ ก็ยังหาตัวไม่ได้ว่าใครนั้นเป็นเจ้าของเหล่านี้เป็นต้น ดังนั้นสิ่งที่เขาขายก็คือความลับ”
2. หลายปีก่อน มีข่าวฮือฮา ปานามา เปเปอร์ส (Panama Papers)
สรุปง่ายๆ คือ มีรายชื่อนักการเมืองและคนใกล้ชิดกว่า 140 คน อดีตผู้นำประเทศ คนดัง นักกีฬา นักธุรกิจ ฯลฯ เป็นเจ้าของบริษัทนอกอาณาเขต ก็คือไปตั้งบริษัทบังหน้า อำพรางตน โดยจดทะเบียนนอกอาณาเขตของประเทศ เช่น ที่เกาะบริติชเวอร์จิ้น ปานามาหมู่เกาะเคย์แมน เป็นต้น เพื่อประโยชน์ในการทำธุรกรรมบางประการของเจ้าตัว
ในกรณีของไทย ปานามา เปเปอร์ส ให้ข้อมูลว่า มีคนที่อยู่ในประเทศไทย ไปเป็นเจ้าของบริษัทนอกอาณาเขต กว่า 780 รายชื่อมีทั้งชาวต่างชาติและคนไทย
อย่าลืมว่า ในทางกฎหมาย การเป็นเจ้าของบริษัทนอกอาณาเขต มิใช่ความผิดสำเร็จในตัวเอง
บ้างต้องการไปลงทุนที่ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน
บ้างต้องการความคล่องตัวทางธุรกิจ
เพราะบนเกาะเหล่านี้ จะเสียภาษีถูก หรือไม่ต้องเสียเลยแถมไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลบางประการ
จะโอนย้ายเงินทองก็สะดวกรวดเร็ว ไม่ถูกตรวจสอบมาก
บางกรณี มีการไปตั้งบริษัทที่เกาะเหล่านั้น แล้วโอนหุ้น โอนเงินโอนรายได้ ไปตกแก่บริษัทเหล่านั้น เพื่อประหยัดภาษี หรืออำพรางความเป็นเจ้าของ
แต่ที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย คือ นักการเมืองที่ใช้บริษัทนอกอาณาเขตของตน เป็นเครื่องมือในการฟอกเงินและการเลี่ยงภาษี หลบเลี่ยงความเป็นเจ้าของธุรกิจบางอย่างเพื่อฝ่าฝืนกฎหมายเฉพาะที่กำกับดูแลนักการเมือง
นักการเมืองไทยบางคน มีคดีสินบนข้ามชาติ ก็ถูกดำเนินคดีไปแล้ว เข้าคุกไปแล้ว (แต่ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเพราะปานามา เปเปอร์ส)
3. ตัวอย่างคลาสสิกในไทย คือ กรณีอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง
เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2545 ทักษิณ ชินวัตร ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อสาธารณชนว่า
“เมื่อวานผมได้ดูข่าวจากซีเอ็นเอ็น ทราบว่าขณะนี้สภาของสหรัฐกำลังแก้ไขกฎหมายใหม่ ทั้งนี้เพราะบริษัทต่างๆ ไม่มีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐ แต่ไปจดทะเบียนในประเทศอื่นๆ เช่น ปานามาบ้าง หรือที่หมู่เกาะบริติช เวอร์จิ้นไอร์แลนด์ ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทที่ไม่รักชาติเพราะถือว่าเป็นการเลี่ยงภาษี ... ..ก็อยากฝากให้คนไทยและบริษัทต่างๆ มีความรักชาติด้วย”
แต่ในภายหลัง เมื่อมีการตรวจสอบคดีร่ำรวยผิดปกติ พบข้อเท็จจริงว่า อดีตนายกฯ ทักษิณเอง เคยเป็นเจ้าของบริษัทแอมเพิลริชจดทะเบียนจัดตั้งอยู่บนหมู่เกาะบริติช เวอร์จิ้น ไอร์แลนด์
และเคยใช้บริษัทบังหน้านี้ เป็นเครื่องมือรับการผ่องถ่ายหุ้นบริษัทสัมปทานโทรคมนาคม
เจตนาอำพรางความเป็นเจ้าของ ทั้งๆ ที่ กฎหมาย ป.ป.ช. ห้ามนายกฯ เป็นเจ้าของบริษัทสัมปทานดังกล่าว กระทั่งเกิดการเอื้อประโยชน์แก่ตนเองมโหฬาร นำไปสู่การดำเนินคดีและยึดทรัพย์ในที่สุด
กรณีดังกล่าว อดีตนายกฯ ทักษิณมีความผิด ก็มิใช่เพราะเป็นเจ้าของบริษัทบังหน้า แต่เพราะมีการใช้บริษัทบังหน้าซุกหุ้น และใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่ตนเองโดยมิชอบ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี