สังคมประชาธิปไตยจะดีได้ด้วยกฎเกณฑ์กติกา ด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยผู้เป็นกลไกอันสำคัญ ได้แก่ นักการเมืองและพรรคการเมือง ก็จะต้องมีการปฏิบัติหรือ
พฤติกรรมที่สอดคล้องกับความเป็นนักประชาธิปไตย โดยมีประชาชนเป็นผู้ได้รับประโยชน์ และเป็นผู้ตรวจสอบ
ก็ขอถือโอกาสนี้ทบทวนความเป็นไป สาระเนื้อหาของการเป็นสังคมประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทย โดยเฉพาะในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้ โดยมุ่งไปที่บทบาทและพฤติกรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือผู้ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทยว่า ได้มีส่วนส่งเสริมสังคมประชาธิปไตยให้ก้าวหน้า หรือมีส่วนทำให้สังคมประชาธิปไตยของไทยถดถอย เป็นที่น่าอดสู และปวดร้าวปวดใจของปวงชนชาวไทยที่ปรารถนาให้สังคมประชาธิปไตยมีความก้าวหน้าและยั่งยืนกันแน่
ผลของการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีอีก 6 คนนั้น ได้ปรากฏแก่สาธารณชนว่า สาระเนื้อหาที่เสียเวลาอภิปรายกันมามิใช่เรื่องสำคัญ เพราะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวโยงกับการลงคะแนนเสียงเพื่อไว้วางใจ หรือไม่ไว้วางใจ หากแต่การยกมือสนับสนุน หรือคัดค้านนั้น ต่างขึ้นอยู่กับคำสั่งพรรค (ที่อ้างวินัยพรรค) และการเป็นเสียงข้างมากเป็นสำคัญ จึงทำให้ผลการอภิปรายเป็นที่รู้กันตั้งแต่ก่อนการอภิปราย
อย่างไรก็ตาม ความน่าอดสูซ้ำซ้อนก็ได้เกิดขึ้นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ เมื่อสมาชิกของพรรคที่เป็นแกนหลักของพรรคร่วมรัฐบาล ได้มีความเคลื่อนไหวที่จะล้มล้างนายกรัฐมนตรีของตน ซึ่งมิได้เกิดขึ้นจากขีดความสามารถ หรือพละกำลังของฝ่ายค้านแต่อย่างใด หากแต่เกิดขึ้นด้วยความแตกแยกภายในพรรครัฐบาล เกิดระหว่างพรรคแกนนำรัฐบาลกับตัวนายกรัฐมนตรีเสียเอง ซึ่งโดยมารยาททางการเมืองแล้ว ดูไม่เป็นการสมควรเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการไม่คำนึงถึงซึ่งความรู้สึกนึกคิดของประชาชน
เมื่อมองไปยังกระบวนการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญในรัฐสภา ซึ่งโดยหลักการแล้ว ก็ควรเป็นกระบวนการแก้ไขเพื่อลดและขจัด สาระเนื้อหาที่บั่นทอนหรือขวางกั้นความเจริญก้าวหน้าของสังคมประชาธิปไตยของราชอาณาจักรไทยแต่การณ์กลับเป็นว่า มีเพียงการแก้ไขเกี่ยวกับสัดส่วนระหว่างระบบบัญชีรายชื่อ กับระบบเขตเลือกตั้ง และการกาบัตรเพื่อให้เลือกพรรคและให้เลือกผู้สมัครในแต่ละเขตเลือกตั้ง ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องผลประโยชน์มากน้อย หรือความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างผู้สมัครและพรรคการเมืองด้วยกันเองเป็นหลัก ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสริมสร้างสังคมประชาธิปไตย และอำนวยประโยชน์ให้กับประชาชนพลเมืองเลยแม้แต่น้อย
ในขณะเดียวกัน ก็มีเรื่องว่าด้วยการบริหารจัดการต่อสู้กับโรคระบาดโควิด-19 ของรัฐบาล ซึ่งดูทุลักทุเล ไม่ปะติดปะต่อและไม่โปร่งใส ซึ่งไม่ได้สร้างความมั่นใจใดๆ ให้กับปวงชนชาวไทย แต่ทว่าการวิพากษ์วิจารณ์ต่อผลงานของฝ่ายรัฐบาลโดยบรรดาผู้แทนราษฎรก็มิได้เกิดขึ้นอย่างเป็นกิจจะลักษณะทั้งในและนอกสภา แล้วเมื่อฝ่ายรัฐบาลก็มีมติที่จะเพิ่มเพดานเงินกู้เป็นสัดส่วนร้อยละ 70 ต่อมวลรวมประชาชาติ - GDP อีกทั้งก็มีมติที่จะลดภาษีนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และในขณะเดียวกันก็จะมีการขึ้นภาษีบุหรี่ โดยหวังว่าจะเป็นการตีกรอบมิให้มีการสูบบุหรี่เพิ่มขึ้น โดยมิได้มีการชี้แจงเกี่ยวกับหลักการเหตุและผลอย่างแน่ชัดต่อสังคม ซึ่งมิได้มีปฏิกิริยาใดๆจากผู้แทนราษฎร และบรรดาพรรคการเมือง ต่างคนต่างเสมือนว่าไม่รู้ไม่เห็น หรือยอมสยบต่ออำนาจเด็ดขาดของฝ่ายบริหาร โดยมิได้มีความคิด หรือจิตสำนึกใดๆ ที่จะได้ทบทวนเรื่องราวที่จะปกป้องผลประโยชน์ของชาติและปวงชนชาวไทย ก็เท่ากับว่าผู้แทนราษฎร และพรรคการเมืองมิได้ทำตัวเป็นหูเป็นตาให้กับปวงชนชาวไทย และในอีกแง่หนึ่งก็ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
นอกจากนั้น ก็มีข่าวว่าประธานสภาผู้แทนราษฎร (ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาด้วย) จะมีการเดินทางสัญจรไปทั่วประเทศไทยให้ครบ 77 จังหวัด โดยมิได้ประกาศวัตถุประสงค์ให้แน่ชัด แต่เมื่อมาเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาเดือนสองเดือนนี้ก่อนการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น ก็ทำให้ประชาชนอดสงสัยไม่ได้ว่า เป็นการออกไปตระเวนหาเสียงให้กับพรรคตนเอง หรือให้กับผู้ที่จะสมัครที่พรรคตนเองสนับสนุนหรือไม่ ดังนั้น สังคมจึงตั้งคำถามว่า ควรจะกระทำเช่นนี้หรือไม่ ในเมื่อผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานสภา ควรจะวางตัวเป็นกลาง ไม่เอนเอียง และไม่ใช้ตำแหน่งเพื่อแอบแฝงการหาเสียง หรือการดำเนินงานทางการเมืองที่มีผลได้ผลเสีย
ยิ่งกรณีอุทกภัยน้ำท่วมในจังหวัดส่วนใหญ่ของประเทศได้มีการออกไปเยี่ยมเยียนประชาชนพลเมืองและให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครโดยนายกรัฐมนตรีและบรรดารัฐมนตรี ซึ่งก็มิใช่เรื่องแปลก และยังถือได้ว่าก็เป็นเรื่องที่ควร แต่แทนที่นักการเมืองจะใช้การเยี่ยมเยียนนี้ไปดูแลทุกข์สุขของประชาชนพลเมืองที่ประสบเคราะห์กรรมด้วยตนเอง หรือจะใช้เวลาศึกษาประเด็นต่างๆ ของประเทศ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขและปรับปรุง แต่กลับเป็นการใช้โอกาสเพื่อวัดพลังสนับสนุน และแสดงความจงรักภักดีโดยบรรดาผู้แทนราษฎรกลุ่มหนึ่งต่อตัวนายกรัฐมนตรี และต่อตัวหัวหน้าพรรค (พลังประชารัฐ)ของตน ซึ่งมีตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้วย
จนแล้วจนรอด ปวงชนชาวไทยก็ต้องสะดุ้งกับวลีของท่านผู้นำประเทศว่า “เมื่อน้ำท่วมก็ควรจะทำการประมงและเมื่อน้ำท่วมอีก ก็ต้องช่วยกันสวดมนต์” ดูกันอย่างผิวเผินก็ดูเป็นการพูดด้วยความหวังดี แต่ถ้าดูกันให้ลึกซึ้งก็เป็นการพูดแบบพล่อยๆ และไร้ความรับผิดชอบ และไร้มิตรจิตมิตรใจ ต่อความยากลำบากของปวงชนชาวไทย
ทั้งหมดนี้ ก็ต้องร่วมกันช่วยกันสวดมนต์ให้บรรดาผู้นำประเทศและผู้แทนปวงชน หรือผู้แทนราษฎรของเรา มีสติมีจิตสำนึก มีความละอายใจ กลับลำจากการผูกติดอยู่กับอัตตา และความเห็นแก่ตัว ไปสู่การอุทิศตนเพื่อผลประโยชน์ และความผาสุกของประเทศชาติ และเจ้านายของตนคือประชาชนพลเมืองของไทย
ฝากทุกฝ่ายให้รีบปรับปรุงแก้ไขตนเองเสีย มิเช่นนั้นแล้ว ท่านจะถูกตราหน้า และจารึกว่าเป็นผู้บ่อนทำลายสังคมประชาธิปไตย และเป็นผู้ทรยศต่ออุดมการณ์และคำมั่นสัญญาและเป็นผู้ทรงเกียรติอันจอมปลอม
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี