เมื่อสัปดาห์ก่อนท่านผู้บัญชาการทหารบกได้ส่งสัญญาณเตือนทุกฝ่ายว่าอย่าสร้างความขัดแย้งหรือความแตกแยกแตกสามัคคีในบ้านเมือง ซึ่งนับว่าเป็นการส่งสัญญาณครั้งสำคัญจากผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน เพราะนับแต่เข้าดำรงตำแหน่งมาปีเศษท่านผู้บัญชาการทหารบกไม่เคยส่งสัญญาณในลักษณะนี้เลย
และต้องถือว่าเป็นการส่งสัญญาณที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นไปในบ้านเมืองของเรา ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและความแตกแยกแตกสามัคคีภายในชาติที่รุนแรงมากกว่าทุกระยะที่ผ่านมา จนเห็นได้ว่ากำลังกระทบต่อความมั่นคงของประเทศชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่รับผิดชอบของผู้บัญชาการทหารบกโดยตรง
เป็นที่น่าแปลกใจอย่างยิ่งที่ความขัดแย้ง ความแตกแยกแตกสามัคคีภายในชาติ ได้ขยายตัวอย่างกว้างขวางและยกระดับความรุนแรงมากขึ้นจนผิดสังเกตเช่น เหตุการณ์ในลักษณะก่อจลาจลที่เกิดขึ้นที่สามเหลี่ยมดินแดงอย่างต่อเนื่อง และมีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งๆ ที่ได้มีการจับกุมดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องไปแล้วกว่า 820 คน แต่แม้กระนั้นเหตุการณ์ก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ที่น่าสังเกตก็คือผู้ต้องหาหรือจำเลยเกือบทั้งหมดมีอายุระหว่าง 17-23 ปี การที่เด็กและเยาวชนอายุขนาดนี้กล้าหาญชาญชัยเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างไม่กลัวเจ็บไม่กลัวตาย ไม่กลัวคุกไม่กลัวตะรางนั้นไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก่อน และอะไรเป็นเหตุจูงใจให้เกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น
สภาพความจริงที่ปรากฏแก่สายตาชาวไทยทั้งประเทศในระยะ 3 ปีมานี้มีความชัดเจนอย่างยิ่งว่ามีความขัดแย้ง มีความแตกแยกอย่างกว้างขวางแทบทั่วทุกวงการ ไม่ว่าในวงการเมือง ในหมู่ประชาชน ในหมู่ข้าราชการ ในหมู่ดารานักร้อง นักแสดง แม้กระทั่งในวงการศาสนา และลุกลามเข้ามาถึงครอบครัวที่เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน ถึงขนาดตัดพ่อ ตัดแม่ ตัดพี่ ตัดน้อง กันเป็นจำนวนมาก
สภาพเช่นนี้แยกไม่ออกจากการขยายตัวและความแพร่หลายของโซเชียลมีเดีย ซึ่งทำให้คนทั้งหลายเข้าถึงการใช้สื่อดังกล่าวอย่างกว้างขวาง นั่นคือในขณะที่ประชากรทั้งประเทศมีเพียง 70 ล้านคน แต่มีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือถึง 100 ล้านเครื่อง และใช้กันอย่างกว้างขวางไม่ว่าเด็กเล็ก เยาวชน หรือผู้สูงวัย จึงทำให้ความคิดความเห็นและเรื่องราวที่เสนอแพร่หลายและเกิดการสวนทางกันทางความคิด
ต่อมามีการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการจิตวิทยามวลชนขึ้นหรือที่เรียกว่า IO และฝ่ายต่างๆ ที่มีความขัดแย้งกันในทางการเมืองก็ได้ขยายการจัดตั้ง IO กันอย่างกว้างขวาง กระทั่งลุกลามเข้าไปในทุกวงการของสื่อ ไม่ว่าหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ประเภทต่างๆ รวมความก็คืออะไรที่เป็นสื่อถึงเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็มีขบวนการ IO เข้าไปปฏิบัติการกันอย่างคึกคัก
ความจริงสิ่งที่เรียกว่า IO หรือปฏิบัติการจิตวิทยานั้นแต่ก่อนร่อนชะไรมาเป็นปฏิบัติการเฉพาะที่ใช้กันในหน่วยงานด้านความมั่นคง เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำลายฝ่ายตรงกันข้ามหรือข้าศึก จึงถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้ปฏิบัติการต่อข้าศึก ไม่เคยนำมาใช้ต่อพี่น้องร่วมชาติเดียวกันเลย
ปฏิบัติการมวลชนที่ใช้กันภายในบ้านเมืองตั้งแต่อดีตมาเป็นเรื่องการสร้างความสามัคคีภายในชาติ เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง
แต่เมื่อนำ IO มาใช้ในยุคสมัยใหม่นี้กลับเกิดผลในทางตรงกันข้าม การใช้ IO ในทางการเมืองเริ่มขึ้นจากกระบวนการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา คือประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นผลให้ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น
หลังจากนั้นก่อนการเลือกตั้งครั้งที่แล้วก็มีพรรคการเมือง กลุ่มการเมืองบางพรรคบางกลุ่มได้นำ IO มาใช้ในทางการเมือง แต่ไม่ใช่เป็นการใช้เพื่อสร้างความสามัคคีภายในชาติ หรือใช้เพื่อสร้างความนิยมให้กับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของตน
แต่เป็นการใช้เพื่อทำลายความเชื่อถือฝ่ายตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมือง หรือกลุ่มการเมือง หรือองค์กรทางการเมืองที่อยู่ตรงกันข้ามก็จะถูก IO เหล่านี้ปฏิบัติการด้อยค่าทำลายความเชื่อถือหรือสร้างความเกลียดชัง กระทั่งใช้เป็นเครื่องมือในการระดมคนไปกดดันข่มขู่คุกคามด้วยประการต่างๆ ดังที่ทราบกันแล้วเป็นการทั่วไป
ดังนั้นจึงมีการนำปฏิบัติการ IO นี้มาใช้กันอย่างกว้างขวางมาถึงวันนี้ก็กล่าวได้ว่ามีการใช้ IO ปฏิบัติการกันทุกฝ่ายและขยายตัวลุกลามไปยังส่วนราชการด้วย ดังเช่น การใช้ IO ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคบ้า ในการทำลายความเชื่อถือของคนทั้งหลายที่เสนอความเห็นต่าง
โดยเฉพาะในทางการเมืองนั้นได้มีการใช้ IO อย่างเป็นล่ำเป็นสันในการทำลายและผลักไสผู้มีความเห็นต่าง ที่ร้ายแรงที่สุดก็คือการผลักไสผู้มีความเห็นต่างกับผู้มีอำนาจทางการเมืองให้เป็นพวกล้มเจ้า
กระทั่งแอบอ้างผูกขาดความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่แทนที่จะพิทักษ์ปกป้องพระเกียรติของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ถูกย่ำยีต่อเนื่องยาวนานชนิดที่
ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกลับมิได้กระทำการเช่นนั้น ที่กระทำจริงก็คือการผลักไสผู้มีความเห็นต่างกับผู้มีอำนาจทางการเมืองว่าเป็นพวกล้มเจ้า
และเมื่อการผลักไสรุนแรงมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งผลักไสผู้มีความเห็นต่างให้กลายเป็นพวกล้มเจ้ามากขึ้นเท่านั้น ไม่วายแม้กระทั่งพระสงฆ์องค์เจ้าก็ถูกผลักไสไล่ส่ง ซึ่งแท้จริงก็คือการทำร้ายสถาบัน เพราะเป็นการเพิ่มจำนวนให้กับฝ่ายตรงกันข้ามกับสถาบัน ทั้งๆ ที่ผู้ที่ถูกผลักไสเกือบทั้งหมดเพียงแค่เห็นต่างกับผู้มีอำนาจทางการเมืองเท่านั้น
ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าการผลักไสผู้มีความเห็นต่างทางการเมืองกับผู้มีอำนาจทางการเมือง ผลแท้จริงก็คือเป็นกระบวนการล้มเจ้าชนิดหนึ่งที่อำมหิตและทำให้เกิดผลที่แท้จริงในปัจจุบันนี้คือ นับแต่มีการสถาปนาพระบรมราชจักรีวงศ์เป็นต้นมา ไม่มียุคใดสมัยใดที่สถาบันถูกย่ำยีเหยียดหยามเหมือนกับครั้งนี้ แต่ผู้มีอำนาจทางการเมืองทั้งหลายกลับไม่ปริปากเลยแม้แต่นิดเดียว มิหนำซ้ำยังฉวยโอกาสเอามาเป็นข้อกล่าวหาผู้ที่มีความเห็นต่างทางการเมืองซ้ำเติมเข้าไปอีก
นอกจากนั้นยังมีการขยายวงการใช้โซเชียลมีเดียและสื่อมวลชนเพิ่มขึ้นจำนวนมาก รวมทั้งการใช้สื่อของทางราชการด้วย ทำให้มีลักษณะอาการประหนึ่งว่ากองทัพเข้าเป็นฝักเป็นฝ่ายในการผลักไสประชาชนที่เห็นต่างไปเป็นพวกล้มเจ้าด้วย
ดังนั้นการที่ผู้บัญชาการทหารบกส่งสัญญาณเตือนในครั้งนี้จึงต้องถือเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกฝ่ายพึงน้อมใจและเพิ่มความระมัดระวัง หยุดหรือเลิกการสร้างความขัดแย้งและแตกสามัคคีในชาติให้เร็วที่สุด เพราะบาดแผลใหญ่ในหัวใจคนไทยในขณะนี้กำลังใกล้จะถึงจุดที่ร่างกายจะทนไม่ได้แล้ว
การผลักไสผู้มีความเห็นต่างให้เป็นศัตรูกันไม่ใช่ทางออกจากความขัดแย้ง ตัวอย่างเคยมีมาแล้วในสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่มีความขัดแย้งในประเทศไทยถึงขั้นเป็นสงครามกลางเมืองและเปิดฉากสู้รบกันถึง 47 จังหวัด ในแต่ละปีมีผู้บาดเจ็บเสียหายเป็นจำนวนมาก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9จึงทรงมีพระราชดำริแก่นายกรัฐมนตรีให้ปรับเปลี่ยนวิธีแก้ปัญหา จากการต่อสู้ผลักไสไปเป็นการดึงเข้ามาสู่หนทางสันติ และนั่นจึงเป็นที่มาของการออกนโยบายที่ 66/2523 อันลือลั่นของประเทศไทย
จึงเกิดการนิรโทษกรรมให้กับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย และเชิญเข้ามาร่วมพัฒนาชาติไทยโดยไม่เลือกหน้า หลังจากนโยบาย 66/2523 ได้รับการปฏิบัติเพียง 3 ปี คือ ในปีพุทธศักราช 2526 ประเทศไทยก็สามารถยุติความขัดแย้งและสงครามกลางเมืองได้อย่างสิ้นเชิง
เป็นผลให้ในเดือนมีนาคม 2529 กองทัพไทยได้ประกาศยุทธศาสตร์พระราชทานในรัชกาลที่ 9 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้าว่า “ประเทศมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง” โดยมียุทธวิธีคือทำสงครามกับความยากจน
หนทางออกจากความขัดแย้งและสงครามตามพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในอดีตยังคงมีพลานุภาพอยู่ และสมควรที่จะอัญเชิญมาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมืองในสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี