เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ การลงทุนโครงการต่างๆ เป็นปัจจัยสำคัญมาก
ข้อโจมตีของฝ่ายค้านแบบปิดตาข้างเดียว ทำนองว่าหนี้สาธารณะท่วมท้น ไม่ได้มองดูทรัพย์สิน หรือโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม อันเป็นการลงทุนที่จะเกิดผลดีในทางเศรษฐกิจกลับคืนมาในระยะถัดไป
ตรงกันข้าม ยุครัฐบาลก่อนหน้านี้ มีการก่อหนี้สาธารณะเพิ่ม ทั้งที่ไม่มีวิกฤตโควิด และกลับไม่ได้ก่อให้เกิดทรัพย์สินและโครงสร้างพื้นฐานใดๆ เพิ่มเติมมากมายเหมือนในยุคปัจจุบัน
1. ล่าสุด ครม.อนุมัติแผนบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2565 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ย้ำ แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ไม่ใช่การขอกรอบวงเงินกู้เพิ่มเติม
พูดง่ายๆ ว่า จะกู้เงินไปทำอะไรบ้างนั่นเอง
น่าสนใจว่า นอกจากจะเป็นการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ กู้เงินเพื่อดำเนินแผนงานตาม พ.ร.ก.กู้เงินโควิด-19เพิ่มเติม ยังปรากฏว่า มีการกู้เงินเพื่อการลงทุนในโครงการต่างๆ อาทิ โครงการรถไฟทางคู่ โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้า เป็นต้น
โดยคาดการณ์หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 ภายใต้แผนบริหารหนี้สาธารณะนี้ จะอยู่ที่ร้อยละ 62.69 ซึ่งไม่เกินร้อยละ 70 ตามกรอบการบริหารหนี้สาธารณะกรอบใหม่ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
2. S&P คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ BBB+ และมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า บริษัท S&P Global Ratings (S&P) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
(1) ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) มีความแข็งแกร่ง แม้ว่าการดำเนินนโยบายการคลังผ่านมาตรการต่างๆของภาครัฐเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จะทำให้การขาดดุลงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564–2565 และหนี้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี S&P คาดว่า ปี 2566 เมื่อสถานการณ์คลี่คลายรัฐบาล เศรษฐกิจฟื้นตัว รัฐบาลจะสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นและจัดทำงบประมาณขาดดุลลดลง
สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ยังส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องต่อการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่ S&P คาดว่า ปี 2564 เศรษฐกิจไทยจะเติบโต (GDP Growth) ประมาณร้อยละ 1.1 และจะเติบโตเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณร้อยละ 3.6 ต่อปี ในช่วงปี 2565-2567 จากภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากสามารถควบคุมการระบาดของ COVID-19 และประชาชนได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึงได้ อีกทั้งคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับไปอยู่ที่ระดับเดิมก่อนเกิด COVID-19 ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ รัฐบาลยังสนับสนุนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ให้เป็นไปตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ อาทิ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) และโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง และยังส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน (Public Private Partnership) เพื่อลดความเสี่ยงทางการคลังของรัฐบาลให้เป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลังของภาครัฐ
(2) ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล อีกทั้ง สภาพคล่องและทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง โดย S&P คาดว่าสภาพคล่องต่างประเทศ (External liquidity) ของประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวล นอกจากนี้การดำเนินนโยบายทางการเงินและการรักษาเสถียรภาพด้านราคาเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ
(3) ปัจจัยสำคัญที่ S&P จะติดตามอย่างใกล้ชิด คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม และเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะปานกลาง
3. มุมมอง IMF ต่อเศรษฐกิจโลก
นางคริสตาลินา จอร์เจียวา ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยว่า ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกในปี 2564 ลงสู่ระดับต่ำกว่า 6% พร้อมระบุถึงความเสี่ยงเกี่ยวกับหนี้สิน,เงินเฟ้อ และทิศทางเศรษฐกิจที่ไม่สอดคล้องกัน อันเนื่องมาจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แม้เศรษฐกิจทั่วโลกจะปรับตัวขึ้นแต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงเป็นปัจจัยที่จำกัดการฟื้นตัวโดยอุปสรรคใหญ่ที่ขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจคือ การแบ่งปันวัคซีนครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นสาเหตุให้มีประเทศจำนวนมาก ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้
เศรษฐกิจในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว มีแนวโน้มที่จะกลับมาขยายตัวในระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ภายในปี 2565 แต่เศรษฐกิจในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา อาจจำเป็นต้องใช้เวลาอีกหลายปี จึงจะฟื้นตัว อันเนื่องมาจากผลกระทบของโควิด-19
ทั้งนี้ สหรัฐและจีนยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ขณะที่อิตาลีและยุโรปเริ่มส่งสัญญาณการเติบโตที่ดีขึ้น แต่เศรษฐกิจในส่วนอื่นๆ ของโลกอ่อนแอลง แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ซึ่งถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญนั้นมีแนวโน้มที่จะบั่นทอนการเติบโตของประเทศส่วนใหญ่ในปี 2565 และยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของบางประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
IMF แนะนำให้ธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก หลีกเลี่ยงการใช้มาตรการคุมเข้มนโยบายการเงินในเวลานี้
และยังได้เรียกร้องให้ประเทศที่ร่ำรวย ส่งมอบวัคซีน COVID-19 ให้กับประเทศยากจน รวมถึงยกเลิกข้อจำกัดทางการค้า และบริจาคเงิน2 หมื่นล้านดอลลาร์ สำหรับใช้เป็นเงินทุนในการทดสอบเพื่อหาผู้ติดเชื้อและรักษาผู้ป่วยจากไวรัสโควิด-19 เนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนของกลุ่มประเทศยากจนมีเพียง 2.3% จากตัวเลข 46% ของผู้ที่ได้รับวัคซีนทั่วโลกในปัจจุบัน ซึ่งหากทุกประเทศไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ก็อาจทำให้สูญเสีย GDP สะสมทั่วโลก (cumulative global GDP) เป็นเงิน 5.3 ล้านล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลา 5 ปี
มุมมองข้างต้น สะท้อนว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบางเศรษฐกิจไทยก็ต้องได้รับผลกระทบด้วย ดังนั้น เครื่องยนต์เศรษฐกิจภายในประเทศ ทั้งการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศยังจำเป็น
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี