สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นกำลังจะทำให้ทิศทางการเมืองเปลี่ยนไป? ทั้งในสภาและนอกสภา!
และไม่ว่าน้ำจะท่วมหนักหรือเบา เขื่อนจะแตกหรือไม่แตกหลังจากนี้ ทุกอย่างอาจจะกลายเป็นประเด็นการเมืองไปเสียทั้งหมด จนลืมเรื่องโควิดและม็อบดินแดงไปเลยหรือไม่? สิ่งเหล่านี้อาจเกิดขึ้นไม่ว่าฝ่ายใด
ขณะที่สถานการณ์โควิดเริ่มซบเซาลง ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันลดลงทำให้ประชาชนเริ่มไม่ตื่นกลัวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ธุรกิจที่พึ่งกลับมาเปิดกำลังมีแนวทางที่จะเดินต่อ ยอดผู้ป่วยและยอดผู้ติดเชื้อไม่ได้เพิ่มขึ้น ความต้องการวัคซีนบางยี่ห้อเป็นพิเศษก็ไม่ได้มีการพูดถึงอีกต่อไป ม็อบดินแดงจนไปถึงม็อบไล่นายกฯที่นนทบุรี ก็ไม่ได้รับความสนใจมากนัก ประกอบกับอุทกภัยในหลายจังหวัดที่ประชาชนให้ความเป็นห่วงว่าจะท่วมหนักเหมือนปี 2554 หรือไม่? จึงทำให้ความสนใจในเรื่องของการเมืองจากกลุ่มผู้ชุมนุมยิ่งลดลงไปอีก แต่กลับมีความเคลื่อนไหวจากส่วนอื่นที่กำลงเป็นที่น่าจับตามอง อย่างการลงพื้นที่ของ พลเอกประยุทธ์ ในการติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อมรับมือกับอุทกภัยที่ยังไม่จบและต้องบูรณาการความร่วมมือจากหลายส่วนในการแก้ปัญหา รวมไปถึงเยี่ยมเยียนประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม
การลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชนในครั้งนี้ หนีไม่พ้นการที่ถูกจับไปโยงกับการลงพื้นที่หาเสียง เพื่อเตรียมการเลือกตั้งที่อาจเกิดขึ้นเร็วนี้หรือไม่? จากที่หลายฝ่ายคาดการณ์จากสิ่งบอกเหตุในช่วงเวลาที่ผ่านมาประกอบกับการที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ต่างมีความเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการปฏิบัติการเชิงรุกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการตะลุยลงพื้นที่รวมไปถึงมีการประกาศแคนดิเดตผู้ที่จะลงชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งถัดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดูเผินๆเหมือนพรรคการเมืองแต่ละพรรคเริ่มมีการเดินเกม เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งที่อาจเกิดขึ้นในเร็ววันนี้แล้วหรือไม่? แต่เบื้องลึกเป็นอย่างไรยังบอกไม่ได้ การลงพื้นที่ในครั้งนี้อาจไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงแต่อย่างใด เป็นเพียงแค่การเยี่ยมเยียนประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน และรับฟังปัญหาเพื่อปูทางไปสู่การแก้ไขที่ตรงจุดมากขึ้นเท่านั้น? แต่พื้นที่ที่ไปลงนั้นเป็นพื้นที่ส่วนใด และใครบ้างที่ไปลง? ใครบ้างที่ไปตาม ?ลองหาคำตอบกันดู
หนึ่งสัญญาณสำคัญที่ทำให้หลายคนคิดกันไปเองว่าการเลือกตั้งใกล้จะมาถึงแล้ว คือการที่ กกต. ได้มีการส่งหนังสือถึงพรรคการเมืองแต่ละพรรคว่าให้เตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง แม้ทาง กกต. จะชี้แจงว่าเป็นเพียงการประสานงานกับพรรคการเมืองตามปกติ และเป็นไปตามระบบขั้นตอน เพื่อให้พรรคการเมืองแต่ละพรรคนั้นได้ทราบถึงกติกาการเลือกตั้งใหม่ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับข่าวลือยุบสภาเพราะเรื่องของการยุบสภาเป็นเรื่องของฝ่ายรัฐบาล ของนายกฯในการตัดสินใจ
แต่ก็มีคนบอกว่าเรื่องนี้อาจมีอะไรบางอย่างเพราะไม่ใช่เพียงเรื่องของระบบเลือกตั้งที่เปลี่ยนไป แต่เป็นหนังสือแจ้งเพื่อเตรียมความพร้อมซึ่งน่าสนใจว่าก่อนหน้านี้มีการส่งสัญญาณอะไรจากรัฐบาลไปยัง กกต. หรือไม่? เพราะอย่าลืมว่าจริงๆ แล้วยังเหลือการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ค้างอยู่อีกสองอย่างคือ การเลือกตั้งอบต. และการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.
สำหรับเอกสารที่แต่ละพรรคได้รับมานั้น จึงส่งผลให้พรรคการเมืองอาจเริ่มมีการขยับตัวมากขึ้น ซึ่งต้องบอกว่าไม่ว่าการส่งเอกสารของ กกต.ครั้งนี้จะได้รับการส่งสัญญาณจากรัฐบาลหรือไม่ หรือจะทำให้เกิดการเลือกตั้งเร็วๆ นี้จริงไหม แต่ผลนั้นก็ทำให้พรรคการเมืองทุกพรรคตื่นตัว นั่นทำให้ส่งผลบวกต่อนายกรัฐมนตรีบนสถานการณ์ทางการเมืองเพราะลดกระแสต่อต้านนายกไปได้มากและนำไปสู่การเตรียมตัวแต่ละพรรคสู่การเลือกตั้งแทน
แต่ก็ไม่เกินความคาดหมายของพรรคการเมืองต่างๆนักเพราะกำลังเข้าสู่ปีที่ 3 ของรัฐบาลแล้ว เพียงแต่จะมากน้อยเพียงใดและจะมีดีลลับเพื่อจับกลุ่มก้อนทางการเมืองกันใหม่หรือไม่เท่านั้น? แต่คำถามที่เกิดขึ้นกับพรรคการเมืองคือ จะให้พรรคการเมืองเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายเลือกตั้งฉบับใด? เพราะขณะนี้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560 กำลังถูกแก้ไขในสาระเรื่องระบบการเลือกตั้ง ซึ่งอยู่ในระหว่างการรอประกาศใช้ แล้วเพราะเหตุใด
ทาง กกต. จึงส่งหนังสือไปให้พรรคการเมืองแต่ละพรรคทั้งที่กฎหมายลูกนั้นยังอยู่ในกระบวนการ? อีกทั้งเนื้อหาภายในยังมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส. ที่ยังไม่จบว่าในระบบการเลือกตั้งแบบบัตรสองใบจะมีวิธีการนับคะแนนแบบใด เพราะอย่างไรแล้วก็มีผลต่อที่นั่ง สส. ที่จะถูกคิดคำนวณอย่างแน่นอนไม่พ้นแม้แต่การปัดเศษของคะแนน จึงยิ่งสอดรับกับประเด็นคำถามว่าแท้จริงแล้วเป็นการปั่นกระแสเองของพรรคหลักว่าจะมีการเลือกตั้ง ทั้งที่ยังไม่น่าจะเป็นไปได้หรือไม่?
เพราะการที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคตะลุยลงพื้นที่อย่างหนักหน่วงในช่วงเวลาเดียวกัน ก็ทำให้ตลาดแลกเปลี่ยนสส.เริ่มคึกคักขึ้นมาทันที ประเด็นที่หลายคนอาจลืมคิดคือนี่คือช่วงเวลาของการเปิดตัวหรือก่อตัวพรรคการเมืองใหม่?
จึงไม่แปลกที่จะเห็นการเล่นเกมการเมือง หรือแม้แต่การเล่นกลกับพรรคร่วม อย่างในกรณีล่าสุด ที่มีการปรับกลยุทธ์ในการคุมเกมประชาธิปัตย์ จากที่ครม. มีมติให้พลเอกประวิตรเข้าไปมีอำนาจในการควบคุม 4 หน่วยงาน ซึ่งอยู่ในสังกัดของกระทรวงเกษตร ได้แก่ กรมพัฒนาที่ดิน กรมฝนหลวงและการบินเกษตร สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และองค์การตลาดเพื่อการเกษตร ซึ่งหน่วยงานทั้ง 4 นี้แต่เดิมนั้นอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของร้อยเอกธรรมนัส แต่เมื่อร้อยเอกธรรมนัสพ้นจากตำแหน่ง หน่วยงานเหล่านี้จึงตกอยู่ในความรับผิดชอบของนายเฉลิมชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
แต่มติ ครม. ดังกล่าวก็ได้มอบหมายให้พลเอกประวิตรเป็นผู้มีอำนาจในการกำกับดูแลกรมดังกล่าว การก้าวเข้ามามีบทบาทในกระทรวงเกษตรของพลเอกประวิตรนั้นจะนำไปสู่การยึดกระทรวงเกษตรในอนาคตหรือไม่? หรือเป็นเพียงแค่การเดินเกมอะไรบางอย่าง ระหว่างพรรคร่วมหรือไม่? รวมถึงข่าวก่อนหน้านี้ที่ว่าพรรคพลังประชารัฐอยากได้กระทรวงเกษตรมาดูแลเองนานแล้ว? และไม่ว่าต้นสายปลายเหตุนั้นเกิดจากอะไรแต่การที่พลเอกประยุทธ์กระทำการเช่นนี้อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ของพรรคร่วม และการที่พลเอกประยุทธ์ยอมรับที่จะต้องรับศึกสองด้าน ทั้งศึกที่กำลังเผชิญในบ้านพลังประชารัฐเอง และยังอาจต้องเผชิญกับปัญหาภายนอกด้วย ย่อมแสดงถึงความมั่นใจบางอย่างของพลเอกประยุทธ์ ที่ต้องบอกเลยว่าเป็นพลเอกประยุทธ์ไม่ใช่เพียงพรรคพลังประชารัฐ เพราะผลที่เกิดขึ้นจากทั้งภายในพรรคและนอกพรรคก็เป็นเช่นเดียวกัน
และแม้ในท้ายที่สุดจะมีการยกเลิกคำสั่งดังกล่าว แต่ก็เปิดให้เห็นภาพการเมืองอะไรบางอย่างว่า อาจไม่ได้พลาดในการตัดสินใจแต่อาจเลือกแล้วที่จะเดินแบบนี้ เพราะคำสั่งดังกล่าวแม้ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการรวบอำนาจและอาจไม่ถูกตามธรรมเนียม ทั้งที่ก็ต้องมีการปรับครม. อยู่แล้วและทุกอย่างก็กลับไปสู่สภาพเดิมได้อยู่แล้ว เพราะนายกฯอาจตั้งใจที่จะไม่ปรับ ครม. ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเพื่อดูสัญญานอะไรบางอย่าง สิ่งสำคัญที่สุดน่าจะเป็นการจัดแถวในพรรคพลังประชารัฐเอง และการปรับ ครม. ในครั้งนี้น่าจะเป็นการปรับเฉพาะพรรคพลังประชารัฐเอง แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่อาจมีการปรับเก้าอี้เพิ่มมากกว่า 2 ตำแหน่งที่กำลังว่างอยู่ หรือการแลกเก้าอี้กันเพื่อการประสานงานที่ง่ายขึ้นอย่างที่เคยเกิดมาแล้วในกรณีของกระทรวงพาณิชย์ โดยหลายคนมองว่าอาจเป็นการจัดระเบียบภายในบ้านตัวเองให้เสร็จแล้วค่อยปรับ ครม.ก็ได้ แต่ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ณ ขณะนี้นายกฯกำลังเดินเกมจัดแถวในพรรคพลังประชารัฐด้วยตนเอง มือขวาถือไม้เรียว มือซ้ายถือขนม แม้ว่าอำนาจจะอยู่กับพลเอกประวิตรในฐานะหัวหน้าพรรค แต่หากถามสส.ในพรรค ไม่ว่าอย่างไรย่อมอยากได้อำนาจในครม. หรือ งบช่วยเหลือมากกว่า หลังจากนี้จึงน่าจะเห็นภาพ สส. เดินตามนายกฯหรือพลเอกประวิตรมากกว่ากัน?
ในขณะที่พรรคร่วม 2 พรรคใหญ่ อย่างพรรคภูมิใจไทยคงไม่มีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค รวมถึงโครงสร้างต่างๆภายใน ในการเลือกตั้งครั้งหน้า และพรรคประชาธิปัตย์ที่ยังคงนิ่งอยู่ แต่ที่แน่ๆ ภายในพรรคพลังประชารัฐเองกำลังเกิดการขยับภายในอย่างมาก ที่อีกไม่นานก็คงจะได้เห็นผังบริหารชุดใหม่ของพรรคพลังประชารัฐพร้อมๆ ไปกับการปรับครม.ส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ที่อาจนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงและกู้คืนศรัทธาของรัฐบาลก่อนการเลือกตั้งก็เป็นได้....
“คนเมื่อมีชีวิตอยู่ ก็มีความเจ็บปวดรวดร้าว
ที่ความจริงเป็นเรื่องที่ไม่ว่าผู้ใด ก็ไม่มีปัญญาหลีกเลี่ยงได้”
โกวเล้ง จาก หลั่งเลือดสะท้านภพ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี