เป็นเรื่องร้อนเมื่อเดือนก.ย. 2564 ที่ผ่านมา เมื่อภาคประชาชนตั้งข้อสังเกตว่า “มีความพยายามเปลี่ยนรูปแบบการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จากการจ่ายแบบถ้วนหน้าเป็นการจ่ายเฉพาะผู้มีรายได้น้อย” ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง รวมถึงมีการนัดหมายทำกิจกรรมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ “คัดค้าน” กันที่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในวันที่ 30 ก.ย. 2564
ซึ่งโต้โผการจัดกิจกรรมครั้งนี้อย่าง เครือข่ายสลัม 4 ภาค องค์กรภาคประชาสังคม (NGO) ที่ทำงานด้านสิทธิของคนจนเมือง ได้ยื่นข้อเรียกร้องเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ว่า“ให้คณะอนุกรรมการกำหนดนโยบายเบี้่ยยังชีพผู้สูงอายุ (ใหม่) ยกเลิกแนวทางการกำหนดการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะให้จัดสรรเบี้ยยังชีพเฉพาะกลุ่มคนยากจน หรือพิจารณาจากเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำ ผู้ที่ได้รับต้องแสดงตัวตนและรายได้ และประกาศรายชื่อให้สาธารณชนรับรู้”
แนวคิดการเปลี่ยนหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จากการจ่ายแบบถ้วนหน้าเป็นการจ่ายเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ปรากฏเป็นข่าวเมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2564 โดยสื่อมวลชนอ้างการเปิดเผยของเพจ “บำนาญแห่งชาติ”ของเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ ที่ระบุว่า มีการประชุมคณะอนุกรรมการกำหนดนโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ (ใหม่) ครั้งที่ 1/2564 เพื่อพิจารณาแนวทางการกำหนดนโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ พร้อมทั้งพิจารณาข้อหารือกระทรวงวัฒนธรรม กรณีบุคคลต้องห้ามมีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ในวันที่ 14 ก.ย. 2564
โดยในช่วงหนึ่งของการประชุม มีการกล่าวถึงผลจาก “การเรียกเก็บเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุคืนรวมดอกเบี้ย จากการได้รับบำนาญพิเศษตกทอดมาจากบุตรนั้น” ได้มีการส่งเรื่องให้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตีความ และแนะนำว่า “เพื่อไม่ให้เกิดการจ่ายเบี้ยยังชีพซ้ำซ้อน ก็ต้องไม่ให้แบบถ้วนหน้า” จึงได้มีการประชุมหารือเพื่อกำหนดการจ่ายเบี้ยยังชีพแบบกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งมีแนวโน้มว่า จะให้จ่ายเบี้ยยังชีพเฉพาะกลุ่มคนยากจน
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 30 ก.ย. 2564 จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้มาพบกับตัวแทนเครือข่ายสลัม4 ภาคที่มาทำกิจกรรมยื่นข้อเรียกร้อง ก็ได้ยืนยันว่า คณะอนุกรรมการกำหนดนโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุต้องนำไปเสนอต่อคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ จากนั้น จะเสนอความเห็นไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป และหากจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงกฎหมายจะต้องเสนอกลับเข้าไปยังสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งกระบวนการนี้ไม่สามารถตัดสินใจเพียงผู้เดียวได้
“ขอย้ำว่าการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ปัจจุบันยังคงจ่ายตามเกณฑ์เดิม ทุกคนจะได้รับเหมือนเดิมจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ จะด้วยกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีก็ตาม จะต้องมีขั้นตอน ทั้งนี้ อยากเรียนให้ทราบว่า วันนี้ไม่มีการตัดสิทธิใครทั้งสิ้นที่เคยได้รับอยู่เดิม”จุติ กล่าวย้ำ
อีกด้านหนึ่ง ย้อนไปเมื่อวันที่ 21 ก.ย. 2564 ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามสื่อมวลชนกรณีข้อกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ชี้แจงเรื่องดังกล่าวว่า “ขณะนี้การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุยังเป็นไปตามปกติ ไม่มีการปรับลดแต่อย่างใด และหากมีการเปลี่ยนแปลงก็ได้ให้นโยบายไปว่า ให้รักษาสิทธิผู้รับสิทธิเดิมไปจนเสียชีวิต” ทำให้ในเบื้องต้น เรื่องร้อนๆ นี้ก็จบลงด้วยดี
สำหรับการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในประเทศไทย เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2536 สมัยนายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัย จากพรรคประชาธิปัตย์ โดยในเวลานั้นรัฐบาลได้
จัดตั้ง กองทุนสวัสดิการผู้สูงอายุในชุมชน (เบี้ยยังชีพ)กำหนดให้จ่ายเบี้ยยังชีพกับผู้สูงวัย อายุ 60 ปีขึ้นไปเป็นเงิน 200 บาทต่อคนต่อเดือน อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นยังเป็นเพียงการจ่ายเฉพาะผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ หรือถูกทอดทิ้ง หรือขาดผู้อุปการะเลี้ยงดูหรือไม่สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้
นโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ได้รับการสานต่อและพัฒนามาอย่างต่อเนื่องตามลำดับ แม้จะเปลี่ยนรัฐบาลหรือเปลี่ยนขั้วทางการเมืองก็ตาม อาทิ ในปี 2542 ชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี สมัยที่ 2 รัฐบาลได้เพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็น 300 บาทต่อคนต่อเดือน จากนั้นในเดือนธ.ค. 2549 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่นายกฯในขณะนั้นคือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ แม้จะเป็นรัฐบาลทหารจากการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 แต่ก็ยังสนับสนุนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ด้วยการปรับเพิ่มเป็น 500 บาทต่อคนต่อเดือน
“จุดเปลี่ยน” ครั้งสำคัญของนโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เกิดขึ้นในปี 2552 เมื่อรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคประชาธิปัตย์ “เปลี่ยนรูปแบบการจ่ายเบี้ยยังชีพจากผู้สูงอายุ จากจ่ายเฉพาะผู้มีรายได้น้อยเป็นจ่ายทุกคนแบบถ้วนหน้า” 500 บาทต่อคนต่อเดือน และต่อมาในช่วงปลายปี 2554 รัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย ได้ปรับเพิ่มเป็นการจ่ายถ้วนหน้าแบบขั้นบันได อายุ 60-69 ปี ได้ 600 บาทต่อคนต่อเดือน อายุ 70-79 ปี ได้ 700 บาทต่อคนต่อเดือน อายุ 80-89 ปี ได้ 800 บาทต่อคนต่อเดือน และอายุ 90 ปีขึ้นไป ได้ 1,000 บาทต่อคนต่อเดือน
“ทำไมเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจึงสำคัญและมีเสียงคัดค้านการเลิกจ่ายแบบถ้วนหน้า?” เรื่องนี้มีตัวอย่างจากผลการศึกษาของอดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เดชรัต สุขกำเนิด ที่พบว่าในปี 2551 หรือปีสุดท้ายของการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเฉพาะผู้มีรายได้น้อย มีสัดส่วนผู้สูงอายุที่เข้าข่ายยากจนอยู่ที่ร้อยละ 27.5 แต่ในปี 2554 หรือปีที่ 3 ที่เปลี่ยนมาเป็นการจ่ายแบบถ้วนหน้า สัดส่วนผู้สูงอายุที่เข้าข่ายยากจนนั้นลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 16.1 และในปี 2560ก็ยังลดลงได้อีกโดยมาอยู่ที่ร้อยละ 7.8
นี่จึงเป็นความสำคัญของเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบจ่ายถ้วนหน้า ซึ่งแม้ว่าจะเป็นเงินที่น้อยมากเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ แต่กลับพบว่าได้ผลจริงในการลดปัญหาความยากจนในสังคมไทย อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมหนึ่งก็เข้าใจถึงข้อห่วงใยว่าในภาวะสังคมสูงวัย สัดส่วนผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในขณะที่เด็กและวัยทำงานลดลง การจ่ายถ้วนหน้าอาจกระทบต่องบประมาณของประเทศในภาพรวม ดังนั้น “ที่นี่แนวหน้า” สัปดาห์นี้ จึงฝากให้ท่านผู้อ่านช่วยกันคิดว่า จะหารายได้เพิ่มอย่างไร หรือจะทำอย่างไรให้สวัสดิการนี้อยู่ได้อย่างยั่งยืน!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี