ในสัปดาห์นี้ในขณะที่ประเทศอยู่ในท่ามกลางวิกฤตโคบ้าและกำลังประสบภัยน้ำท่วมที่อาณาประชาราษฎรจำนวนมากได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส จู่ๆ ก็มีเสียงไชโยโห่ฮิ้วขึ้นมาจากพลพรรคของพรรคประชาธิปัตย์ที่ประสบชัยชนะในการทวงการกำกับดูแลส่วนราชการ 4 กรมในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กลับคืนมาสำเร็จ
ก็เป็นเหตุอันควรดีอกดีใจ แต่สิ่งหนึ่งที่จะมองข้ามไปไม่ได้ก็คือความฟั่นเฟือนในระบบราชการซึ่งไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่ก็เกิดขึ้นชนิดผิดคิดผิดคาด และแสดงให้เห็นถึงปมเงื่อนและปมปัญหาที่ดำรงอยู่ในศูนย์กลางอำนาจของประเทศไทยในขณะนี้
กรณีนี้สืบเนื่องมาจากการปลดรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ 2 ท่าน และ 1 ใน 2 นั้นก็คือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เคยได้รับการมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้มีอำนาจในการดูแลและสั่งราชการทั้ง 4 กรมนี้ ในขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีก็มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้กำกับดูแลและสั่งราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมีรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐมนตรีว่าการ
อันกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดินนั้น การกำกับดูแลและสั่งราชการในกระทรวงใดเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการ และในกรณีที่กระทรวงนั้นมีรัฐมนตรีช่วยว่าการก็เป็นเรื่องที่รัฐมนตรีว่าการจะพิจารณามอบอำนาจในการดูแลสั่งราชการกรมใดกรมหนึ่งหรือหลายกรมของกระทรวงให้รัฐมนตรีช่วยว่าการรับผิดชอบได้
ซึ่งในกรณีนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ได้มีคำสั่งมอบหมายอำนาจให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จากพรรคพลังประชารัฐเป็นผู้กำกับดูและสั่งราชการ 4 กรม ซึ่งถ้าหากเป็นเรื่องภายในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการก็สามารถสั่งราชการได้ในฐานะปฏิบัติและสั่งราชการแทนรัฐมนตรีว่าการ
แต่ในกรณีที่อำนาจนั้นไม่จบสิ้นอยู่เพียงระดับกระทรวง แต่เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี ก็เป็นเรื่องที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องนำเรื่องทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับทุกส่วนราชการในกระทรวงและจำเป็นต้องนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีตามอำนาจหน้าที่
และปกติก็จะต้องนำเสนอไปที่นายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการ หรือสั่งให้นำเข้าพิจารณาในคณะรัฐมนตรีแล้วแต่กรณี
ในกรณีที่มีรองนายกรัฐมนตรีไม่ว่าคนเดียวหรือหลายคน นายกรัฐมนตรีก็มีอำนาจที่จะมีคำสั่งมอบหมายอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลราชการของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งหรือหลายกระทรวง รวมทั้งหน่วยงานที่ไม่สังกัดกระทรวงด้วยก็ได้
และในกรณีนี้นายกรัฐมนตรีก็ได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่รัฐมนตรีว่าการมาจากพรรคประชาธิปัตย์
ดังนั้นเมื่อตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่างลง คำสั่งที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้สั่งการมอบหมายอำนาจให้แก่รัฐมนตรีช่วยว่าการก็ย่อมเป็นอันสิ้นสุดลงโดยอัตโนมัติ
และเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่จะกำกับดูแลสั่งราชการทั้ง 4 กรมที่รัฐมนตรีช่วยว่าการพ้นตำแหน่งนั้นโดยอัตโนมัติด้วย
แต่ที่เป็นเหตุเรื่องนี้เกิดจากการที่นายกรัฐมนตรีออกคำสั่งให้รองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณ กำกับดูแลสั่งราชการ 4 กรมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีตามกฎหมายบริหารราชการแผ่นดิน และกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบกระทรวง ทบวง กรม
ดังนั้นในทันทีที่ข่าวเรื่องการมอบอำนาจในการกำกับดูแล 4 กรมในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดังกล่าวปรากฏต่อสื่อมวลชนจึงกระทบต่อพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะกระทบต่อรองนายกรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ที่กำกับดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อีกชั้นหนึ่งด้วย
และในทางการเมือง ทางพรรคประชาธิปัตย์ก็เห็นว่ากรณีเช่นนี้เป็นการไม่ให้เกียรติแก่พรรคประชาธิปัตย์ เพราะเท่ากับเป็นการล้วงลูกเข้าไปยังหน่วยงานที่รัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีของพรรคมีอำนาจหน้าที่ดูแล
ดังนั้นพลพรรคประชาธิปัตย์จึงทักท้วงโต้แย้งและต่อว่ากันเป็นลูกระนาดจนเกิดเป็นกระแสความขัดแย้งขึ้นระหว่างนายกรัฐมนตรีกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งกรณีนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับพรรคพลังประชารัฐ หรือรองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องในการออกคำสั่งเรื่องนี้
กระแสความไม่พอใจและกระแสความขัดแย้งดังกล่าวได้ขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นแรงกดดันที่กระทบต่อนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะคือเสถียรภาพของนายกรัฐมนตรี ซึ่งในขณะนี้ก็เผชิญกับปัญหาสารพัดสารพันอยู่แล้ว
และนายกรัฐมนตรีก็อาจจะมีนักกฎหมายประเภท second opinion เสนอแนะหรือทักท้วงอยู่ก็เป็นได้ ดังนั้นนายกรัฐมนตรีจึงได้มีคำสั่งยกเลิก
คำสั่งนั้นเสียและให้ปฏิบัติไปตามเดิม
เรื่องก็มีอยู่เท่านี้ แต่ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่เสียหน้าและสะท้อนถึงความฟั่นเฟือนในระบบราชการประการหนึ่งด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี