คลื่นมนุษย์ของแรงอพยพในเมืองหลวงและเมืองใหญ่ในเวียดนามแหกด่านตำรวจทหารกลับบ้านในชนบทสร้างความกังวลว่าจะเกิดการระบาดใหญ่ในหลายภูมิภาคของประเทศ
สำนักข่าวอัล-จาซีระห์เสนอรายงานพิเศษเรื่อง “วิบากกรรมของแรงงานอพยพกับความกังวลเกิดระบาดใหญ่รอบใหม่ในชนบท” โดยเริ่มบรรยายถึงบรรยากาศในโฮจิมินห์เมืองหลวงเวียดนามและเมืองบริวารที่เป็นฐานเศรษฐกิจของประเทศว่าเกิดความโกลาหลวุ่นวาย
เมื่อแรงงานอพยพแหกด่านรักษาความปลอดภัยกลับบ้านหนีการอดตายหลายแสนคน
แรงงานชาวเวียดนามที่มาจากชนบทในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและที่ราบสูงภาคกลางที่ปักหลักทำมาหากินอยู่ในเมืองหลวงและเมืองบริวารกว่า 3 ล้านคน ทนความอดอยากเพราะตกงาน หลังจากถูกสั่งกักตัวอยู่กว่าสี่เดือนไม่ไหวจึงแหกด่านกลับบ้านเกิด
นักวิชาการในสิงคโปร์กล่าวกับอัล-จาซีระห์ ว่าระหว่างสั่งห้ามเคลื่อนย้ายแรงงาน รัฐบาลวางกำลังตำรวจทหารกว่า 130,000 นาย ไว้ทั่วเมืองกำชับไม่ให้คนฝ่าฝืนคำสั่งและสร้างรั้วลวดหนามขึ้นอย่างน้อย 300 จุด ปิดกั้นไม่ให้คนข้ามจังหวัดและอำเภอ
ทันทีที่รัฐบาลสั่งยกเลิกการกักตัวอยู่แต่ในบ้านเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม แรงงานหลายแสนคนในโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดโควิด-19 เก็บข้าวของขึ้นคร่อมรถจักรยานยนต์แหกด่านตำรวจทหารกลับบ้านทันทีด้วยคำพูดว่า “ไม่อยู่ให้อดตายที่นี้”
การรีบกลับภูมิลำเนาโดยไม่ได้ผ่านการตรวจเชื้อและไม่ได้รับอนุญาตให้ออกเดินทาง ทำให้เกิดความกังวลแก่เจ้าหน้าที่ ว่าแรงงานหลายแสนคนที่ทะลักกลับบ้านจะเป็นเหตุให้เกิดการระบาดใหญ่ในชนบทเพราะบริเวณที่แรงงานกลับไปประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับวัคซีน
“เท่าที่ทราบ ณ วันที่ 5 ต.ค. แรงงานอพยพเดินทางถึงบ้านแล้วประมาณ 160,000 คน และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นตามไปพบคนติดเชื้อแล้วอย่างน้อย 200 คน” เว็บไซต์ Zing News ที่มีผู้ติดตามหลายแสนคนรายงาน
“คลื่นมนุษย์ทะลักกลับบ้านครั้งนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ในจังหวัดของเรารับมือยากลำบากที่สุด” เหงียน ตาน บินห์เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงกล่าว “สามวันที่ผ่านมาเราทำงานทั้งวันทั้งคืนในการจัดหาอาหารและตรวจเชื้อพวกเขา” เหงียน ตาน บินห์ กล่าว “ผู้คนขับรถมอเตอร์ไซค์หลั่งไหลมาตลอดวันตลอดคืนท่ามกลาง
สายฝน ดังนั้นเราต้องจัดหาเสื้อกันฝนมาแจกจ่ายให้ทุกคนเราได้แจกจ่ายขนมปังยัดไส้และน้ำดื่มเพื่อให้พวกเขาคลายความหิวโหยด้วย..”
เขาบอกว่า จากจำนวน 30,000 คน ที่มาถึงจังหวัดอัน เกียง โดยรถจักรยานยนต์ ได้ตรวจเชื้อเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นและพบคนติดเชื้อแล้วอย่างน้อย 44 ราย
การหลั่งไหลกลับบ้านของผู้คนทำให้เจ้าหน้าที่รับมือไม่ไหว และยากที่จะคัดแยกผู้คนค้นหาผู้ติดเชื้อได้ในเร็ววัน
อย่างน้อยสองจังหวัดในลุ่มแม่น้ำโขงคือ จ.ซอค ตรัง และ ฮัว เกียง ได้เรียกร้องให้รัฐบาลกลางสั่งระงับการเดินทางกลับบ้านของแรงงานจากโฮจิมินห์และเมืองบริวารให้เร็วที่สุด
ส่วนจังหวัด คาเมา กลัวว่าการระบาดของโควิดจะพุ่งสูงได้ เมื่อวันที่ 4 ต.ค. ได้ยกเลิกคำสั่งผ่อนปรนไม่ให้ประชาชนออกจากบ้านถ้าไม่จำเป็น
“เรากลัวอดตายที่นี้” เป็นคำพูดติดปากของแรงงานอพยพกลับภูมิลำเนา
ตั้งแต่เดือนมิถุนายนรัฐบาลกลางออกคำสั่งห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานในเมืองโฮจิมินห์และจังหวัดบริวาร ได้แก่ จ.ลอง อันจ.บิน ดอง และ ดอง ไน ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของเวียดนาม ตอนแรกสั่งห้ามแรงงานข้ามจังหวัด แต่มาระยะหลังตั้งแต่เดือนสิงหาคมเข้มงวดเพิ่มขึ้น “ไม่อนุญาตให้แรงงานทั้งหมดออกจากบ้านพักแม้แต่ไปซื้ออาหาร”
ดังนั้นทันทีที่ประกาศยกเลิกคำสั่งให้อยู่แต่ในบ้านเมื่อวันที่ 1 ต.ค. จึงเหมือนกับเขื่อนแตกความโกลาหลก็เกิดขึ้นที่ด่านตรวจคนเข้าออกเมืองต่างๆ ของโฮจิมินห์ สื่อทีวีและสื่อสังคมออนไลน์ฉายภาพให้เห็นผู้คนนั่งคุกเข่าพนมมือเหมือนที่ทำในประเพณีจุดธูปไหว้บรรพบุรุษ ขอร้องวิงวอนทหารให้ปล่อยพวกเขาผ่านด่านไป
“เราเกรงว่าเจ้านายของพวกท่านจะตำหนิท่านที่ปล่อยให้พวกเราผ่านด่านไป แต่เรากลัวอดตายที่นี้มากกว่า” เสียงหญิงกลางคนพูดในวีดีโอของทีวีและสื่อออนไลน์
“เท่าที่ทราบ ณ วันนี้อย่างน้อยแรงงาน 200 คนที่ฝืนกฎกลับบ้านในจำนวน 160,000 ติดเชื้อโควิด-19 Zing News เว็บไซต์รายงานเมื่อวันอังคารที่ 5 ต.ค.
ที่ด่านตรวจแห่งหนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของจว.ลินห์ ชานห์ในเช้ามืดวันที่ 2 ต.ค. ฝูงชนหลายพันคนคร่อมจักรยานยนต์ออกันอยู่หน้าด่าน เด็กเล็กนอนข้างถนนระหว่างที่รอผ่านด่าน
“เราไม่มีอะไรกินและที่ได้กินเร็วๆ นี้ มีแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” แลง ติ ตันห์ หนึ่งในแรงงานชายพูดผ่านกล้องทีวี “ผมเป็นช่างก่ออิฐแต่ตกงานมาสี่เดือนกว่าผมไม่มีเงินซื้ออาหารกินแล้ว”
และผู้หญิงอีกคน ตราน ติ ตันห์ พูดว่านางไม่รู้ว่าจะอยู่รอดอย่างไรในโฮจิมินห์ “ฉันยังเป็นหนี้อีก 40 ล้านดอง (1,762 ดอลลาร์สหรัฐ) และฉันไม่มีเงินซื้ออาหาร.. ฉันไม่ต้องการอะไรแล้วนอกจากกลับบ้าน”
คนงานนับพันคร่อมรถจักรยานยนต์เป็นกลุ่มรอผ่านด่านอยู่ตั้งแต่ย่ำรุ่งจนถึงฟ้าสางแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ยอมปล่อยให้ผ่านด่าน เกิดการชุลมุนฉุดกระชากยื้อแย่งกันขึ้น และประชาชนก็พังทลายสิ่งกีดขวางลง
“พวกเขาทำลายสิ่งกีดขวางที่กั้นระหว่างเมืองโฮจิมินห์กับจ.ลอง อัน หลังจากทนอดอยากอยู่สี่เดือน” เหงียน เธาที่อยู่ใกล้ด่านตรวจคนบอกอัล-จาซีระห์ “นี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นผู้คนฝ่าด่าน...คนเหล่านี้ไม่ก้าวร้าวผมคิดว่าครั้งนี้พวกเขาแหกกฎเพื่อความอยู่รอด”
เหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นในเมืองมินห์ ดองเมื่อวันเสาร์ที่ 2 ต.ค. ที่ภาพวีดีโอฉายให้เห็นฝูงชนเผชิญหน้ากับตำรวจที่อาวุธครบมือ
และท่ามกลางความโกลาหลเจ้าหน้าที่กรมการเมืองเปลี่ยนวิธีการใหม่คืออนุญาตให้ประชาชนกลับบ้านได้แต่ต้องผ่านการตรวจเชื้อก่อน และกักตัวเมื่อกลับไปถึงภูมิลำเนาเดิม และระหว่างชุลมุนกันอยู่ เจ้าหน้าที่อีกส่วนหนึ่งซึ่งยังไม่ได้รับคำสั่งจากหน่วยเหนือ จัดรถบัส 113 คัน ขนแรงงานอพยพกลับบ้าน
วันที่ 3 ต.ค. สื่อตีพิมพ์เสนอภาพท้องถนนที่คนหมดเรี่ยวแรงนอนบนกองอิฐและพื้นดินรอกระบวนการตรวจสอบในเมืองป่าเขาจังหวัดดัก ลัก และภาพอื่นๆ แสดงให้เห็นคลื่นมหาชนเดินทางฝ่าฝนกลับบ้าน ทีวีท้องถิ่นสถานีหนึ่งเสนอข่าวผู้ชายคนหนึ่งดันรถเข็นไปตามถนนหลวงขณะที่ลูกเล็ก
สองคนนั่งในรถเข็น ผู้ประกาศข่าวบรรยายว่าชายคนนี้ออกจากเมือง ดองไฮ และต้องใช้เวลาเดินเท้าอย่างน้อย 39 ชั่วโมง เพื่อไปถึงบ้านที่จังหวัด ตรา วินห์
นักวิเคราะห์และเจ้าหน้าที่มูลนิธิเพื่อการกุศลตำหนิรัฐบาลที่รัฐบาลไม่ช่วยเหลือคนงานอพยพ พวกเขาตำหนิว่ารัฐบาลล้มเหลวในการช่วยเหลือแรงงานอพยพในเมืองโฮจิมินห์ และเมืองบริวารระหว่างการกักตัวอยู่หลายเดือน
“สิ่งของที่รัฐบาลช่วยเหลือน้อยมาก ไม่พอกินพอใช้” นักวิชาการด้านเวียดนามศึกษาชองสถาบัน ISEAS-Yusof Isak ในสิงคโปร์บอกกับอัล-จาซีระห์ “พวกเขาต้องทิ้งเมืองหลวงเพราะตกงานและโอกาสหางานใหม่แทบไม่มีเลย”
ธี บิช เหงียน นักสังคมสงเคราะห์จากองค์กรการกุศลเพื่อเด็กในโฮจิมินห์ บอกอัล-จาซีระห์ ว่า “พวกเขาไม่มีเงินซื้ออาหาร ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้องเด็กเล็กไม่มีนมกิน พวกเขากินข้าวต้มกับผักจากโบสถ์เพื่อประทังชีวิต”
รัฐบาลกลางแถลงว่าการยกเลิกล็อกดาวน์เมืองโฮจิมินห์เมื่อ 99% ของประชากรเป็นผู้ใหญ่ได้วัคซีนเข็ม 1 แล้วและ 60% ได้รับสองเข็ม
แต่เมืองโฮจิมินห์ยังพบคนติดเชื้อวันละหลายพันคน รายงานทางการบอกว่าวันที่ 4 ต.ค. ผู้ติดเชื้อ 2,490 รายและตาย 93 คน เมื่อเปรียบเทียบกับจุดสูงสุดที่คนติดเชื้อวันเดียว8,499 คน และตายกว่า 200 คน ในเดือนมิถุนายน
แต่จังหวัดต่างๆ ที่แรงงานอพยพเดินทางกลับไปมีอัตราการได้รับวัคซีนต่ำมากเช่นจังหวัด อัน เกียง, จ.ดัก ลักและ ซอค ตรัง ประชากรได้รับวัคซีนเพียง 4.7% ของประชากรทั้งหมดในขณะที่เมือง อัน เกียง อัตราการได้รับวัคซีนสองเข็มสูงที่สุดคือ 8% ของประชากร
เวียดนามได้รับวัคซีนจำกัด และวัคซีนถูกเน้นไปให้ความสำคัญในเมืองใหญ่ที่ระบาดรุนแรงคือโฮจิมินห์ จากเหตุผลนี้ทำให้ประชากรทั้งประเทศได้รับวัคซีนเพียง 10.9 ล้านคน และผู้ได้รับวัคซีนครบโดสเป็นคนที่อยู่ในเมืองใหญ่ซึ่งเป็นเพียง 11% ของประชากรเวียดนาม
ในท่ามกลางความกลัวว่าแรงงานอพยพกลับบ้านอาจทำให้เกิดการระบาดใหญ่ของโควิดสายพันธุ์เดลต้า เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจึงสั่งให้แรงงานออกค่าใช้จ่ายในการกักตัว แต่หลายคนบอกว่าไม่มีเงินจ่ายเพราะไม่มีรายได้
“เวลานี้โรงเรียนประถมและมัธยมทั้งหมดถูกดัดแปลงเป็นที่กักตัว” นักเศรษฐศาสตร์ผู้ไม่ต้องการเปิดเผยนามบอก อัล-จาซีระห์ “แรงงานอพยพกลับภูมิลำเนาต้องออกค่าใช้จ่ายเองวันละ 80,000 ดอง (ประมาณ 100 บาทไทย) และต้องเสียค่าตรวจ “PCR” ครั้งละ 30 ดอลลาร์ (ประมาณ 900 บาท)คนงานกักตัว 14 วันจ่ายเงินจากกระเป๋าตัวเอง หลายคนพยายามดิ้นรนจ่าย” เขากล่าว
นักสังคมสงเคราะห์ที่เคยช่วยเหลือครอบครัวของแคนโธ หนึ่งในครอบคร้วผู้อพยพกลับไปภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงกังวลว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป “ครอบครัวนั้นมี 5 คนจำเป็นต้องจ่ายค่ากักตัว 14 วัน วัน 80,000 ดองต่อหนึ่งคน พวกเขาจะทำได้อย่างไร” เธอกล่าว
“มันเป็นวิบากกรรม เพราะพวกเขายังจำเป็นต้องจ่ายค่าอาหารลูกๆ ทุกวัน มันเป็นเรื่องเศร้ามาก” สาวนักสังคมสงเคราะห์กล่าว
เห็นวิบากกรรมของแรงงานอพยพชาวเวียดนามแล้วมาเปรียบเทียบกับวิบากกรรมในบ้านเรา ใช่ทุกคนลำบากเพราะตกงานค้าขายไม่ได้เหมือนกันหมด แต่บ้านเรายังมีโครงการเยียวยาให้ความช่วยเหลือกันทุกภาคส่วนพอให้ประทังชีวิตได้จนกว่าโควิด-19 จะผ่านไปและมีแนวโน้มว่าตัวผู้ติดเชื้อใหม่และผู้เสียชีวิตลดลงอย่างมีนัยส่วนหนึ่งอาจมาจากการมีวินัยมากขึ้นของคน แต่สาเหตุสำคัญน่าจะมาจากการได้รับวัคซีนมากขึ้น
ตัวเลขผู้ได้รับวัคซีนป้องกันโควิดทั้งทั่วประเทศ ณ วันที่ 6 ต.ค.
จำนวนการได้รับวัคซีนสะสม (28 ก.พ.-6 ต.ค. 2564) รวม 58,451,838 โดส ใน 77 จังหวัด
จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 1 สะสม : 34,294,702 ราย = 68.69% จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 2 สะสม : 22,548,799 ราย = 45.10% จำนวนผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 3 สะสม : 1,608,727 ราย
แหล่งข้อมูล : MOPH-I#ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19
จากตัวเลขเป็นทางการของผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วและความพยายามจัดหาวัคซีนและฉีดให้ประชาชนอย่างแข็งขันมั่นใจได้ว่าภายในสิ้นปีนี้คนไทยต้องรับวัคซีนเกิน 100 ล้านโดส ถึงเวลานั้นเราจะพูดได้ว่าป้องกันหมู่ Herd prevention แล้ว
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี