หลังศาลไม่ให้ประกัน น.ส.เบนจา อะปัญ จากคดีความผิดดูหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และความผิดอื่นเกี่ยวกับการชุมนุมนั้น น.ส.ปนัสยาสิทธิจิระวัฒนากุล หรือ รุ้ง แกนนำราษฎร โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ ว่า... “พวกคุณมีความสุขมากใช่มั้ยคะที่ทำลายอนาคตของชาติ”
ใจเย็นๆ นะหนู วางความเพ้อและความหลอนลงแป๊บหนึ่ง ตั้งสติ (ถ้ามี) แล้วไล่เลียง “เหตุ” และ “ผล” กันหน่อยไหม
1) วันที่ 8 ต.ค.2564 พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ยื่นคำร้องฝากขังครั้งแรก น.ส.เบนจา อะปัญ อายุ 22 ปี แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และความผิดอื่นเกี่ยวกับการชุมนุม ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
คำร้องฝากขังระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2564 ผู้ต้องหากับพวกกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ได้จัดกิจกรรมที่มีการปราศรัยหน้าอาคารซิโน-ไทยทาวเวอร์ แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กทม. กล่าวโจมตีการทำงานของรัฐบาลและดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ชั้นสอบสวนจึงแจ้งข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112และฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และประกาศเกี่ยวกับการห้ามชุมนุมหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคในพื้นที่ที่มีการหรือคำสั่งกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ซึ่งผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ
โดยพนักงานสอบสวน ขอฝากขังผู้ต้องหาเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 8-19 ต.ค. 2564 เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ต้องรอสอบพยานเพิ่มเติมและการตรวจสอบประวัติทะเบียนอาชญากร ซึ่งการฝากขังพนักงานสอบสวนได้ขอคัดค้านการให้ประกันตัวด้วย ทั้งนี้ ศาลพิจารณาคำร้องและเหตุจำเป็นแล้ว อนุญาตให้ฝากขังได้
ภายหลังเสร็จสิ้นกระบวนการฝากขังแล้วผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลอาญากรุงเทพใต้ พิเคราะห์เห็นว่า คดีมีอัตราโทษสูง ประกอบกับพฤติการณ์ตามคำร้องขอฝากขัง ผู้ต้องหาได้ก่อเหตุเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ผู้ก่อเหตุเคยถูกฟ้องที่ศาลนี้ทั้งพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว จึงเห็นควรไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ให้ยกคำร้อง
ตั้งสติ :
1.ข้อความของรุ้งที่ว่า “พวกคุณมีความสุขมากใช่มั้ยคะ ที่ทำลายอนาคตของชาติ” นั้น รุ้งหมายถึงศาลหรือหมายถึงพนักงานสอบสวน แล้วจะเข้าข่ายหมิ่นศาล หรือดูหมิ่นเจ้าพนักงานหรือไม่?
2.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีอยู่ก่อน ไม่ใช่เพิ่งมาเขียนเพื่อจะเอาผิดทีหลัง และ “ประกอบกับพฤติการณ์ตามคำร้องขอฝากขัง ผู้ต้องหาได้ก่อเหตุเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ผู้ก่อเหตุเคยถูกฟ้องที่ศาลนี้”นั่นแปลว่า เคยถูกกล่าวหาและฟ้องในความผิดตาม ม.112มาแล้ว ได้รับการปล่อยตัวมาแล้ว และมา “ทำผิดซ้ำ” อีกใช่หรือไม่ ใครบังคับให้คุณทำผิดซ้ำ เมื่อทำผิดซ้ำ ทนายไม่ได้“ให้ความรู้” เลยหรือว่า โอกาสได้รับการปล่อยตัวนั้น “น้อยลง”ใครเป็นคนดื้อแพ่ง ยืนยันใน “กรรม” ที่นำผลมาสู่จุดนี้?
3.เบนจา อะปัญ คือ “อนาคตของชาติ” ? จะไม่เถียง ขอหยุดไว้แค่ถาม เอาแค่อนาคตตัวเองก่อน ยังไม่ต้องถึงขั้น “อนาคตชาติ” หรอก แค่อนาคตตัวเอง ได้รับผิดชอบมันแล้วหรือไม่ การดื้อแพ่งต่อกฎหมาย การทำผิดซ้ำซาก “ชาติ” ที่อ้างกันนั้น ก็มี “กระบวนการพิจารณา” เป็นบรรทัดฐานอยู่แล้ว ทนายก็ได้ใช้สิทธิโต้แย้งแล้ว ที่สุดศาลก็อธิบายว่าทำไมถึงอนุญาตให้ควบคุมตัว 12 วัน ใน 12 วันนี้ชาติยังมีอนาคตครับ เบนจาก็เช่นเดียวกัน มีอนาคตที่ต้องให้ความร่วมมือกับกระบวนการ ได้ต่อสู้ในกระบวนการ และต้องรับผลของการต่อสู้ ที่มัน “นับหนึ่ง” มาจาก “กรรม” ของตัวเอง ที่ได้ไปก่อไว้ ถามว่า “ใคร” เป็นคน “ทำลายอนาคต” ของเบนจา?
4.ทำไมต้องคอย “หลอน” กัน ทำไมต้องคอยให้ท้ายว่าเพื่อนฉันถูก คนอื่นผิดหมด คนอื่นบ่อนทำลาย คนอื่นใจร้าย คนอื่นมีความสุขล่ะสินะ ชีวิตมี “ปม” อะไรนักเหรอหนูเรื่องเดียวกันนั้น คนอื่นเขาก็พูด เช่น นายปิยบุตร แสงกนกกุลก็พูด เขาต้องมามีคดี มาติดคุกติดตาราง เหมือนพวกหนูไหมเคย “ตั้งสติ” แล้วคิดไหม ว่าเราจะพูดอย่างไรโดยไม่มีคดี ไม่ติดคุก เหมือนอาจารย์คนหนึ่งที่ก็มักให้ท้ายเราแต่ไม่เคยมาทำแบบเรา ไม่เคยมาเดินนำเรา
2) “ศ.พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ” อดีตอาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้สนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่ม
“ม็อบ 3 นิ้ว” โพสต์รูปภาพยืนคู่กับ “นางวรวรรณ แซ่อั้ง” หรือ “ป้าเป้า” คนดังของม็อบ 3 นิ้ว พร้อมเขียนข้อความบนเฟซบุ๊ค กล่าวถึง กิจกรรม 6 ตุลา ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ว่า “...กับป้าเป้า With Auntie Pao (Lady Godaiva of new Thailand) ได้พบ “ท่านหญิงโกไดว่า แห่งสยามประเทศไทยใหม่” ตัวจริงหน้าตาดีกว่ารูปถ่าย !”
ตั้งสติ :
1.อย่าได้แปลกใจกับตรรกะและ “ความเชื่อมโยง” ในสมองของอาจารย์ชาญวิทย์แกเลย ครั้งหนึ่งแกก็ชื่นชมเพนกวินว่า เป็นมหาตมะ คานธี มาแล้ว แกก็แก่แล้วอะนะ บางทีการให้เหตุให้ผลและการเชื่อมโยงสิ่งนี้เข้ากับสิ่งนั้น มันก็อาจจะ “พิลึก” ไปบ้าง หรือดู “หย่อนสมรรถภาพ”ไปแล้ว ในความเห็นของคนอื่นๆ
2.ท่านหญิงโกไดว่า แกเป็นเมียของ “เอิร์ล” คนหนึ่ง พูดง่ายๆ ว่าเป็นเมียของพวก “ศักดินา” ซึ่งแกไม่เห็นด้วยที่ผัว ซึ่งได้รับอำนาจมาปกครองแคว้นบางแคว้น แล้วไปขูดรีดภาษีจากราษฎร แกไปขอผัวแกว่า เลิกขูดรีดราษฎรเถอะผัวบอกว่า ถ้าเธอแก้ผ้าขี่ม้ารอบเมือง ฉันจะยอมทำตามเธอ ท่านหญิงโกไดว่าแกก็ทำ แต่ก่อนทำ แต่เตี๊ยมกับชาวเมืองแล้ว ให้อยู่ในบ้าน ปิดประตูหน้าต่างซะ แกไม่ได้ “อยากโชว์”แกไม่ได้ “แหก” ในที่สาธารณะอย่างหน้าชื่นตาบาน แกมี “ยางอาย” แกรู้ว่ามันน่าอับอาย แต่เพื่อ “สิ่งที่ดีกว่า” ที่จะเกิดกับราษฎร แกก็ทำ แถมเอาผมปิดส่วนสำคัญไม่ให้อุจาดตาเตือนให้ทุกคนซ่อนตัว อย่าออกมาเห็น
2.ยัยเป้านี่ จงใจ “แหกโชว์” เลย โดยไม่ได้อนาทรร้อนใจต่อ “ความอุบาทว์” ที่เกิด และความ “อุจาด” ที่ผิดกฎหมาย และไม่ได้ทำบนเงื่อนไขต่อรองใดๆ ซึ่งถ้าสิ่งที่ยัยเป้าทำ ดีแล้ว งามแล้ว ถูกต้องแล้ว ให้ผลสัมฤทธิ์แล้ว อาจารย์ชาญวิทย์ จะไปแก้ผ้าในที่สาธารณะต่อสู้ไปกับแกบ้างไหมครับหรือจะนั่ง “ให้ท้าย” อยู่บนหอคอยงาช้าง ให้ยัยเป้าแกหลงเชื่อ หลงผิด คิดว่าสิ่งที่ทำนั้นดีแล้ว ถูกแล้ว เจริญแล้ว ต่อไปอดรู้สึกว่าอาจารย์กำลัง “ค้ามนุษย์” ไม่ได้เลย แต่ไม่กล้าคิดหรอก ว่าอาจารย์คือ ผัวท่านผู้หญิงโกไดว่า !
3) ก็คงเหมือนกับที่ ศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล หัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนากฎหมาย คณะนิติศาสตร์ ม.เชียงใหม่ แสดงความคิดเห็นกรณี ป้าเป้า เปลือยกายต่อต้านการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผ่านทางเพจ ศูนย์วิจัยฯ มหาวิทยาลัยว่า
“เสรีภาพในการแสดงความเห็นของประชาชนมิใช่เพียงการพูด การเขียน หากยังหมายรวมไปถึงการ กระทำต่างๆ ที่เป็นการแสดงออกถึงความเห็นของตนหรือกลุ่มว่ามีทรรศนะอย่างไรต่อนโยบาย ปฏิบัติการหรือกฎหมายในเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการเดินขบวน การชุมนุม รวมถึงกิจกรรมอื่นที่สามารถสื่อมุมมองออกมาสู่สาธารณะ
...ในสหรัฐฯ การเผาธงชาติเพื่อประท้วงนโยบายของรัฐบาล ถือเป็นส่วนหนึ่งของเสรีภาพในการแสดงความเห็นที่สามารถกระทำได้ แม้ธงชาติจะถูกจัดวางให้เป็นสัญลักษณ์ที่มีสถานะพิเศษที่แสดงออกถึงความเป็นชาติก็ตาม แต่หากบุคคลเผาธงชาติในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงออกทางการเมือง ก็ได้รับการคุ้มครองให้เป็นเสรีภาพประการหนึ่ง (Texas v. Johnson 1989)
...การเปลือยกายของป้าเป้าในการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นการกระทำอันหนึ่งในการตอบโต้กับปฏิบัติการรุนแรงของทางฝ่ายรัฐที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง เจตนาหลักในการกระทำก็เพื่อประท้วงต่อความอยุติธรรม และมีจุดมุ่งหมายเพื่อยุติหรือทำให้ปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ต้องหยุดชะงักลง การกระทำเช่นนี้ย่อมเป็นเสรีภาพในการแสดงความเห็นที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองไว้อย่างไม่อาจปฏิเสธ (รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 34 “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น …”)
...แม้กฎหมายอาญาจะมีบทบัญญัติที่กำหนดว่า“ผู้ใดกระทำการอันควรขายหน้าต่อธารกำนัลโดยเปลือยหรือเปิดเผยร่างกาย” แต่ความผิดตามมาตรานี้ไม่ใช่เพียงการเปลือยร่างกายเพียงอย่างเดียว หากยังต้องเป็นการกระทำอันควร “ขายหน้า” การกระทำที่ถูกทางเจ้าหน้าที่ตั้งข้อหาก็คือการทำให้การเปลือยกายของเธอกลายเป็นความผิดไม่ต่างไปจากคนอื่นๆ กระทำในความผิดฐานนี้ ดังเช่นการแสดงอวัยวะเพศของชายแก่หญิงสาวเพื่อสำเร็จความใคร่ของตนเอง เป็นต้น
...เจตนาในการกระทำของป้าเป้าไม่แตกต่างไปจากการแสดงของลับที่เป็นข่าวคราวอยู่บ่อยครั้งกระนั้นหรือ
...ตรงกันข้าม ในความเห็นของผมแล้ว การกระทำของป้าเป้าคือสิ่งที่ควรต้องให้ความเคารพเป็นอย่างสูงในฐานะที่ได้สละเรือนร่างอันเป็นพื้นที่ส่วนตัวของตนเองและมีความหมายสำคัญในสังคมไทยเพื่อต่อสู้กับอำนาจรัฐที่อยุติธรรม
...บุคคลที่ต้องอับอายจากการกระทำในครั้งนี้ควรเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง ควรจะต้องคำถามต่อตนเองว่าได้กระทำการสิ่งใดลงไปจึงทำให้หญิงคนหนึ่งต้องเลือกใช้วิธีการเปลือยกายในการแสดงออก อำนาจรัฐต้องดำรงอยู่อย่างเลวร้ายเพียงใดจึงทำให้ผู้คนต้องเลือกใช้วิธีการในแบบที่แทบจะไม่เคยเกิดขึ้น
...ขอยืนยันว่าการเปลือยกายของป้าเป้าคือเสรีภาพในการแสดงความเห็น”
ตั้งสติ :
ผมจะเชื่อว่าหลักการที่อาจารย์สมชายอธิบายนี้เป็นความจริง และผู้อธิบายเชื่อมั่นในความถูกต้องของมัน ก็ต่อเมื่อ อาจารย์สมชายมาร่วมแก้ผ้ากับป้าเป้าด้วยเท่านั้น เพราะผมยังตกอยู่ในอคติว่า อาจจะมีพวกยุยงให้ท้ายป้าเป้าให้ทำผิดกฎหมาย โดยที่ไอ้อีจอมยุพวกนั้น มันไม่ทำด้วย มันแค่จะใช้ป้าเป็นเครื่องมือ “บำบัดความใคร่ทางการเมือง” ของฝ่ายตัวเองเท่านั้น แล้วก็นั่งหัวเราะคิกคักกัน อยู่ในห้องแอร์!!
4) ปกรณ์ พรชีวางกูร หรือ “เฮียบุ๊ง” แผนกจัดหาและคอยสนับสนุนม็อบราษฎร ได้ออกมา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊คว่า “เพิ่งได้ฟังเพลงบ้านเกิดเมืองนอนที่สลิ่มตั้งใจทำออกมาชนกับโปรเจคต์ #5ตุลาตะวันจะมาเมื่อฟ้าสาง เราจะไม่พูดถึงเนื้อเพลงกับมิวสิค vdo ที่ทำออกมานะ เพราะแม่งทั้งห่วยทั้งเห่ย ดูแล้วฮา เหมือนดูฮาไม่จำกัด แต่ที่จะพูดถึงคือ แม่งตั้งใจปล่อยออกมาให้ตรงกับวันที่ 6 ตุลา ซึ่งเป็นวันล้อมฆ่าประชาชนในธรรมศาสตร์
...ในแง่ของการ propaganda นี่คือความพยายามจะชี้นำว่า การล้อมฆ่าประชาชนในตอนนั้นคือ เรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพราะวีรเวรในวันนั้นคือการรักษาชาติ การฆ่าคือสิ่งที่สมควร ต้องมีความส้นตีนแค่ไหนกันถึงกล้าทำอะไรแบบนี้
...อีกเรื่องคือ นักร้องที่มาร่วมโปรเจคห่วยๆ เห่ยๆ อันนี้คนอื่นๆ ช่างมัน แต่กูสนใจอยู่คนนึง คือตุ้ย AF อะไรคือลูกชาวบ้านลูกแม่บ้านลูกคนจนเป็นสลิ่ม ตัวเองเกิดมาในชนชั้นกรรมกร ปากกัดตีนถีบมาตั้งแต่เด็ก การเข้าถึงการศึกษาก็แย่พ่อแม่ก็ลำบาก บ้านช่องก็เช่าเค้าอยู่ ไม่มีที่ทางเป็นของตัวเองแม้แต่ตารางนิ้วเดียว สวัสดิการรัฐก็ไม่เคยได้รับ ชีวิตหาอะไรดีไม่ได้เลย
...จนมาวันนึงโชคดีประกวดชนะ ชีวิตเปลี่ยน มีทุกอย่างที่คนนึงฝันจะมีแบบหลังตีนเป็นหน้ามือในพริบตา แทนที่จะเข้าอกเข้าใจในชาวบ้าน ผ่านไป 10 กว่าปี เสือกโดนระบบกลืนกลายเป็นสลิ่มไปซะงั้น วันนี้ออกมาร้องเพลงรับใช้นาย เพราะอยากยกตัวเองเป็นอีลิท อยากให้ชนชั้นอีลิทยอมรับ อยากเทียบชั้น อยากถูกมองว่าเป็นพวกเดียวกัน แต่ในความเป็นจริง ตุ้ยเมิงมันก็แค่ม้าใช้ที่เค้าเอาไว้ใช้งานไม่ได้มีราคาอะไรในสายตาชนชั้นอีลิทเลยสักนิด
...เมิงมันลูกชาวบ้านหลานชาวนาไอ้ตุ้ย...ชีวิตกูสบายกว่าเมิง กูยังไม่เป็นสลิ่มเลยตุ้ย
...กูรังเกียจกูขยะแขยงอะไรแบบนี้มากๆ #คนจนที่เป็นสลิ่มแม่งเป็นอะไรที่อุบาทว์ที่สุดแล้ว”
ตั้งสติ :
1.ตุ้ยเป็นนักร้อง มีคนชวนตุ้ยร้องเพลงเพื่อปลุกใจให้คนรักใน “บ้านเกิดเมืองนอน” ตุ้ยก็ต้องกลายเป็นสลิ่มด้วยเหรอ เพลงที่ตุ้นร้องก็ไม่ได้ด่าใคร ไม่ได้ด้อยค่าหรือบูลลี่ใคร ยิ่งเมื่อเทียบกับสิ่งที่ปกรณ์ทำ ความ “สูง-ต่ำ” มันต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
2.นักประชาธิปไตยส้นตีนอะไร เที่ยวเอาความคิดของตัวเองไปยัดเยียดให้คนอื่น คิดเองเออเองว่าเพลงนี้ เอาออกมาชนกับเพลงนั้น หวังผลอย่างนี้อย่างนั้น “...พยายามจะชี้นำว่า การล้อมฆ่าประชาชนในตอนนั้นคือ เรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพราะวีรเวรในวันนั้นคือการรักษาชาติ...” อันนี้ “ฟุ้ง” ไปเอง“เพ้อ” ไปเอง “หลอน” ไปเองหรือเปล่าเฮีย? แล้วก็เอาความหลอนของตัวเองไปดุหมิ่นคนอื่นเขา ไปกดหัวว่าเขารับใช้นาย ไปบีบบังคับว่า เป็นลูกชาวบ้าน หลานชาวนา ต้องอย่างนั้น ต้องไม่อย่างนี้ เฮ้ย!! ชีวิตใคร ให้คนนั้นเขาเลือกจะเป็นได้ไหมวะ นักประชาธิปไตย!
สรุป :
1.ในกระบวนการต่อสู้ที่อ้างว่าเพื่อ “ประชาธิปไตย” มีการหลอกใช้ หลอกให้หลง ยุยง ให้ท้าย ให้เข้าใจผิด คิดว่า“วิธีการที่ใช้” ถูกต้องแล้ว อื่นๆ ใดๆ ในโลกหล้าที่ไม่เหมือนเราผิด เลว ชั่วร้าย โดยไอ้อีที่ทำหน้าที่ยุยงส่งเสริม ไม่ได้ไปยืนอยู่แถวหน้าของการต่อสู้ ไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ตาย ไม่ได้ถูกดำเนินคดีด้วย พวกนี้เป็นได้แค่ “ไอ้ขี้ขลาด/ไอ้ขี้โกง” คนไม่ได้เท่ากัน มีคนเอาเปรียบ กินแรง และฉกฉวยอยู่ข้างหลัง
2.เป็นแค่ “นักประชาธิปไตยปลายส้นตีน” ที่ไม่อนุญาตให้มี “ความต่าง” ฝ่ายตัวเองกรี๊ดกร๊าดประจำให้ทุกคนยอมรับ “ความเห็นต่าง” แต่ลองตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงาบ้าง จะได้เห็นว่าฝ่ายตัวเองก็ด้อยค่า ทัวร์ลง คนที่เห็นต่างทำต่างไปจากพวกตัวจนเป็นสันดานไปแล้ว
หยุดหลอน แล้วเอาสมองฝ่าย “โต้วาที” หรือ “ด้อยค่า” หรือ “ให้ท้าย” พวกนี้ ไปออกแบบ “วิธีการต่อสู้เรียกร้อง” ให้น้องๆ และมวลชนเขาปลอดภัย ไม่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ไม่ถูกใช้ความรุนแรง และไม่ถูก “หลอกใช้” จะดีกว่า!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี