ความกระตือรือร้นของประชาชนชาวไทยในการเข้ารับการฉีดวัคซีนในขณะนี้นั้นถือเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างมาก หลังจากที่รัฐบาลได้จัดหาวัคซีนชนิดต่างๆ เข้ามาในประเทศไทย จนมีจำนวนมากเพียงพอที่จะฉีดให้กับประชาชนในทุกกลุ่มได้ ไม่ใช่เพียงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเยาวชนอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปด้วย
หากนับจนถึงวันนี้มีประชาชนชาวไทยและต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วรวม
ทั้งสิ้นมากกว่า 60 ล้านโดส โดยเป็นการฉีดในเข็มที่ 1 ไปแล้วประมาณ 35 ล้านโดส หรือประมาณ 48 เปอร์เซ็นต์ของประชากร เข็มที่ 2 ประมาณ 24 ล้านโดส หรือประมาณ 32 เปอร์เซ็นต์ของประชากร และเข็มที่ 3 หรือ เข็มกระตุ้นประมาณ 1.7 ล้านโดส หรือประมาณ 2.4 เปอร์เซ็นต์ของประชากร ซึ่งน่าจะทำให้เป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ว่า ภายในสิ้นปีนี้ประชากรอย่างน้อย 70 เปอร์เซ็นต์ จะต้องได้ รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบโดสเป็นจริงได้
นับตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมานี้ รัฐบาลได้เชิญชวนให้เยาวชนอายุ 12 ปีขึ้นไปถึง 17 ปี ให้เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ทั้งนี้ต้องเป็นความสมัครใจและได้รับการยินยอมจากพ่อแม่ผู้ปกครองด้วย โดยวัคซีนที่นำมาฉีดให้นั้นเป็นวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอของไฟเซอร์ ซึ่งสามารถจะสร้างภูมิคุ้มกันได้เร็วและมีปริมาณมากเพียงพอในการป้องกันการเกิดโรค ลดอาการรุนแรงหรือเสียชีวิตหลังจากการฉีดครบ 2 โดส โดยเว้นระยะเวลาห่างกัน 3 สัปดาห์ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้มีข้อมูลล่าสุดว่าวัคซีนดังกล่าวป้องกันการติดโรคได้ถึง 91%
ประเทศไทยของเรา มีเยาวชนที่เป็นนักเรียนและนักศึกษากลุ่มอายุดังกล่าวอยู่รวมทั้งหมดประมาณ 4.5 ล้านคน หลังจากที่มีการเชิญชวนให้เยาวชนเหล่านี้เข้ารับการฉีดวัคซีนนั้น ได้มีผู้สมัครใจและยินยอมเข้ารับการฉีดรวมประมาณ 3 ล้านคน ซึ่งใกล้เคียงกับที่ตั้งเป้าไว้คืออย่างน้อยประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ จนถึงปัจจุบันมีผู้เข้ารับการฉีดแล้วประมาณ 2 แสนราย โดยรัฐบาลได้ตั้งเป้าที่จะฉีดให้ครบทั้งหมดตามที่สมัครใจภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งในการที่จะพิจารณาให้มีการเปิดโรงเรียนต่างๆ ได้ตามปกติตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกโรงเรียนต้องมีการปรับปรุงสภาพของห้องเรียน จำนวนนักเรียนในแต่ละชั้น การให้นักเรียนทุกคนต้องสวมหน้ากากปิดจมูกและปาก การจัดระยะห่างการจัดให้มีการล้างมือ การตรวจเช็คอุณหภูมิร่างกายให้ครบถ้วน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดเป็นเกณฑ์ไว้
สาเหตุที่ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองจำนวนหนึ่งยังไม่ยินยอมให้บุตรหลานเข้ารับการฉีดวัคซีนนั้น มาจากความวิตกกังวลในเรื่องของการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้จากการฉีดวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ โดยเฉพาะของไฟเซอร์ ซึ่งมีข้อมูลจากประเทศสหรัฐอเมริกาว่า การฉีดวัคซีนนี้ให้เยาวชนอายุระหว่าง 12 ถึง 15 ปี โดยฉีดครบ 2 โดส ที่ระยะเวลาห่างกัน 3 สัปดาห์นั้น ในเด็กผู้ชายนอกจากอาการไม่พึงประสงค์ทั่วๆไป เช่น เป็นไข้ ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ปวดบวมบริเวณที่ฉีด ปวดกล้ามเนื้อ ยังพบว่ามีเด็กชายที่เกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบได้ จำนวน 162 คน ต่อ 1 ล้านคน ที่ได้รับการฉีดวัคซีนตัวนี้ ในขณะที่เด็กผู้หญิงพบว่ามีอาการดังกล่าวน้อยมาก และได้มีข้อแนะนำว่าการฉีดวัคซีนดังกล่าวให้กับเด็กนั้น ควรจะฉีดเพียงแค่เข็มเดียวถ้าเป็นเด็กผู้ชาย ซึ่งตัวเลขสถิตินี้ ถึงแม้จะมีจำนวนน้อยมากในการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ดังกล่าว แต่ก็เป็นข้อที่พึงระวัง อาการที่ว่านั้นสามารถจะรักษาให้หายได้ สำหรับในประเทศไทยที่ได้มีการฉีดวัคซีนตัวนี้ไปแล้วนั้น มีรายงานของอาการไม่พึงประสงค์นี้เกิดขึ้น 3 ราย ทุกรายหายเป็นปกติดีหลังได้รับการรักษา
มีข่าวเมื่อสองสามวันที่ผ่านมาว่า องค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกาได้อนุมัติให้ วัคซีน
เอ็มอาร์เอ็นเอของไฟเซอร์ เป็นวัคซีนตัวแรกที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้เป็นวัคซีนทั่วไปได้ คล้ายกับวัคซีนอื่นๆ เช่นวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ทั้งนี้หลังจากที่ได้มีการรวบรวมติดตามผลการฉีดวัคซีนนี้ในผู้รับวัคซีนจำนวนมากพอสมควร ในขณะที่วัคซีนตัวอื่นๆ ทั้งที่เป็นชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ ชนิดไวรัลเวกเตอร์ และชนิดเชื้อตาย รวมทั้งชนิดโปรตีนเบส ที่มีใช้อยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ยังได้รับการยอมรับให้ใช้ในภาวะฉุกเฉินเท่านั้น แต่การอนุมัติวัคซีนไฟเซอร์นี้นั้น ยังมีข้อแม้ในการอนุมัติให้ใช้ในผู้ที่อายุ 16 ปีขึ้นไป ส่วนเด็กที่อายุระหว่าง 12 ถึง 15 ปี ยังถือว่าเป็นการใช้ในภาวะฉุกเฉินเช่นเดิม
วัคซีนที่มีอยู่ทั่วโลกในขณะนี้ทุกชนิด อาจทำให้มีอาการไม่พึงประสงค์หลังการฉีดได้ทั้งสิ้น เพียงแต่อาการนั้นอาจมีมากหรือน้อยต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่บุคคลด้วย โดยขณะนี้วัคซีนเกือบทั้งหมดยังเป็นการซื้อขายผ่านรัฐทั้งสิ้น เพื่อให้เกิดการคุ้มครองเมื่อเกิดอาการไม่พึงประสงค์หลังการฉีดขึ้น โดยรัฐที่จัดหาวัคซีนดังกล่าวเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะถือว่าเป็นผู้ยอมรับให้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน แต่หากวัคซีนชนิดใดก็แล้วแต่ได้รับการอนุมัติให้ใช้เป็นวัคซีนทั่วไปได้แล้ว ความรับผิดชอบของรัฐบาลกรณีที่เกิดอาการไม่พึงประสงค์จะหมดไป โดยบริษัทผู้ผลิตวัคซีนจะต้องเป็นผู้รับภาระนี้กรณีที่เกิดอาการไม่พึงประสงค์ขึ้น ซึ่งอาจจะรวมถึงการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายบริษัทผู้ผลิตโดยตรงก็ได้
แต่ละประเทศจึงจัดให้มีระบบรองรับในกรณีที่เกิดอาการไม่พึงประสงค์ ซึ่งอาจจะเป็นการเจ็บป่วยรุนแรง เกิดความพิการ หรือการเสียชีวิต
สำหรับในประเทศไทยนั้นสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดำเนินการในส่วนนี้โดยจัดให้มีเงินช่วยเหลือเบื้องต้นหรือที่เรียกง่ายๆ ว่าเงินเยียวยา เป็นเงินที่จ่ายชดเชยให้กับผู้มีอาการไม่พึงประสงค์หลังจากฉีดวัคซีนชนิดต่างๆ ที่รัฐบาลได้นำมาฉีดให้กับประชาชน โดยจะมีอัตราการจ่ายสำหรับกรณีที่เจ็บป่วยเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยใน ในโรงพยาบาล โดยหากมีอาการรุนแรงพอสมควรจะได้รับเงินชดเชยเยียวยาไม่เกิน 1 แสนบาท ส่วนกรณีที่มีความเจ็บป่วย มากต่อเนื่อง หรือพิการเกิดขึ้น จะได้รับเงินเยียวยาไม่เกิน 2.4 แสนบาท และในกรณีที่เสียชีวิตจะได้รับเงินเยียวยาไม่เกิน 4 แสนบาท ทั้งนี้หากหลังการฉีดยาแล้วมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้น สามารถจะยื่นเรื่องขอเงินเยียวยาได้โดยการส่งประวัติการฉีดยา การวินิจฉัยและการรักษาทั้งหมด ไปยังสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในทุกเขตพื้นที่ทั่วประเทศไทย หรืออาจจะส่งเรื่องไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดของแต่ละจังหวัดได้ ซึ่งจะมี การตั้งคณะกรรมการประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่าย มาร่วมการพิจารณาว่าอาการดังกล่าวนั้นเป็นผลจากการฉีดยาจริงหรือไม่ เพื่อดำเนินการจ่ายเงินเยียวยาให้ต่อไป
การจ่ายเงินเยียวยาดังกล่าว ได้มีการดำเนินการมาตั้งแต่เริ่มมีการฉีดวัคซีนระยะแรกๆ ในเดือนมีนาคม 2564 แล้ว และมีผู้ได้รับการเยียวยาดังกล่าวไปแล้วจำนวนหนึ่ง กรณีนี้ได้ถูกนำกลับมาพูดถึงอีกครั้งหนึ่งเมื่อมีการเริ่มฉีดวัคซีนให้กับเยาวชนอายุ 12 ถึง 17 ปี เป็นการตอกย้ำของภาครัฐให้เห็นว่า หากมีการฉีดวัคซีนในกลุ่มเยาวชนนี้แล้วเกิดอาการไม่พึงประสงค์ขึ้น ก็สามารถจะร้องขอรับเงินเยียวยาได้เช่นเดียวกับการฉีดให้กับประชาชนกลุ่มอื่นๆ ที่ได้ดำเนินการอยู่แล้ว
ส่วนองค์กรของรัฐอื่นๆ และภาคเอกชน ที่มีการสั่งวัคซีนทางเลือกเข้ามาเพื่อฉีดให้กับประชาชนนั้น ก็ได้จัดให้มีการจ่ายเงินชดเชยในกรณีที่มีอาการไม่พึงประสงค์ภายหลังการฉีดวัคซีนโควิด-19 เช่นกัน แต่การจ่ายเงินชดเชยนี้เป็นการดำเนินการผ่านบริษัทประกันชีวิตโดยองค์กรของรัฐ เช่น ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ซึ่งเป็นผู้สั่งวัคซีนซิโนฟาร์มมาเป็นวัคซีนทางเลือก ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นได้จัดจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไป ก็ได้มีการดำเนินการเรื่องการประกันอาการไม่พึงประสงค์กับบริษัทประกันชีวิตในกรณีที่เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น หรือในกรณีของสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งได้ดำเนินการจัดหาวัคซีนโมเดอร์นาเข้ามาจำหน่ายเป็นวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชนเช่นกัน โดยดำเนินการผ่านองค์การเภสัชกรรมก็ต้องร่วมกับองค์การเภสัชกรรมจัดให้มีการประกันเมื่อมีอาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น ผ่านบริษัทประกันชีวิตเช่นเดียวกัน
ในส่วนของการชดเชยกรณีวัคซีนทางเลือกนี้ บริษัทประกันจะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยหากมีอาการไม่พึงประสงค์ซึ่งเกิดขึ้นภายในไม่เกินระยะเวลา 3 เดือนหลังการฉีดวัคซีน จนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลนั้น จะได้รับการคุ้มครองเป็นค่ารักษาในโรงพยาบาลในวงเงินไม่เกิน 1 แสนบาท แต่หากมีการเจ็บป่วยรุนแรงจนทุพพลภาพหรือเสียชีวิตนั้น จะมีวงเงินคุ้มครองไม่เกิน 1 ล้านบาท หากมีค่ารักษาที่เกินกว่านั้นผู้ป่วยจะต้องเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายส่วนเกินเอง
ในระยะนี้อาจจะได้ยินคำถามของพ่อแม่ผู้ปกครองส่วนหนึ่งว่า จะขอฉีดวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอของ
โมเดอร์นาให้กับบุตรหลาน อายุระหว่าง 12 ถึง 17 ปี ได้หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้มีคำตอบที่ชัดเจนแล้วว่าสามารถจะฉีดได้เช่นกัน เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศไทย ได้อนุมัติให้ใช้วัคซีนชนิดนี้ในเด็กช่วงอายุดังกล่าวได้ตั้งแต่กลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพียงแต่ วัคซีนดังกล่าวยังไม่เข้ามาถึงประเทศไทย อันเนื่องมาจากปัญหาที่ผู้ผลิตไม่สามารถจะจัดส่งให้ได้ เพราะความต้องการของประเทศทั่วโลกที่มีการสั่งวัคซีนตัวนี้มีมากเกินกว่ากำลังการผลิต โดยคาดว่าวัคซีนโมเดอร์นาจะเข้ามาถึงประเทศไทยในช่วงเดือนพฤศจิกายน แต่ยังไม่สามารถกำหนดได้ชัดเจนแน่นอน ว่าจะเข้ามาถึงเมื่อไร
ความล่าช้าของการจัดส่งวัคซีนโมเดอร์นาส่งผลกระทบต่อประชาชนที่ได้สั่งจองซื้อวัคซีนตัวนี้ผ่านโรงพยาบาลเอกชนต่างๆ มากพอสมควร จึงมีข้อแนะนำว่า หากประชาชนท่านใดยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนชนิดใดชนิดหนึ่งแม้แต่เข็มเดียว ควรจะขอเข้ารับการฉีดวัคซีนที่รัฐดำเนินการฉีดให้อยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะวัคซีนแอสตราเซเนกาซึ่งมีอยู่มากพอสมควรในหลายพื้นที่ทั่วประเทศไปก่อน และเมื่อ วัคซีนโมเดอร์นาเข้ามาถึงแล้ว จึงรับการฉีดเป็นเข็มที่ 2 โดยมีระยะห่างจากเข็มแรกตั้งแต่ 4 ถึง 12 สัปดาห์ หรือหากผู้ใดได้รับการฉีดวัคซีนอื่นครบโดสแล้ว ก็สามารถจะใช้วัคซีนโมเดอร์นาที่จองไว้ ฉีดเป็นเข็มกระตุ้นในระยะเวลาห่างกันประมาณ 3 ถึง 6 เดือนได้เช่นเดียวกัน
ประเทศไทย นับได้ว่ามีวัคซีนเกือบทุกชนิดที่มีการผลิตอยู่ ที่ได้ถูกนำมาใช้ในการต่อสู้กับโรคโควิด-19
ข้อมูลจนถึงปัจจุบันมีการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาไปแล้วมากที่สุดเป็นจำนวนมากกว่า 27 ล้านโดส วัคซีน
ซิโนแวคจำนวนมากกว่า 21 ล้านโดส วัคซีนซิโนฟาร์มประมาณ 10 ล้านโดส และวัคซีนไฟเซอร์มากกว่า 2 ล้านโดส
โดยในแต่ละวันจัดฉีดได้เป็นจำนวนมาก โดยบางวันมากกว่า 9 แสนโดส ทำให้เชื่อได้ว่าภายในสิ้นปีนี้ ภูมิคุ้มกันหมู่จะเกิดขึ้นในประชากรไทยได้อย่างแน่นอน และคนไทยจะปลอดภัยจากโรคโควิด-19 มากขึ้น ทั้งนี้จะต้องไม่ละเลยการดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ด้วย
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี