ต้องยอมรับว่าเมืองไทยของเรานั้นมีบริษัทประกันภัยและประกันชีวิต ทั้งชนิดดีและไม่ดีเปิดดำเนินกิจการอยู่ แล้วบริษัทประกันเหล่านั้นก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของคนไทยจำนวนไม่น้อย
ถามว่าบริษัทประกันต่างๆ ในบ้านเรามีมากมาย และแข่งขันกันสูงหรือไม่ คำตอบคือ มีมากมายจนเกินจะจดจำชื่อได้ทั้งหมด แล้วก็มีการแข่งขันแย่งชิงลูกค้ากันอย่างดุเดือดมาก แต่ก็ไม่มีปัญหาใดๆ หากแข่งขันกันด้วยความจริงและให้บริการโดยยึดหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด แต่ปัญหาคือหลายต่อหลายครั้งเราพบว่าบริษัทประกันหลายแห่งไม่ซื่อตรงกับลูกค้า ดังจะพบว่ามีการร้องเรียนและฟ้องร้องบริษัทประกันเกิดขึ้นเป็นประจำ และเกิดขึ้นบ่อยมาก
ตัวอย่างหนึ่งที่คนไทยประสบพบเจอว่าบริษัทประกันไม่ซื่อตรงกับลูกค้าคือ ประกับภัยผู้สูงอายุที่มักโฆษณาหลอกลวงว่าไม่ต้องตรวจโรคก่อนทำประกัน หากเจอโรคร้ายแรงจะจ่ายเงินให้ผู้เอาประกันทันที แต่ในความจริงคือเรื่องนี้เป็นสิ่งโกหกหลอกลวงประชาชน เพราะเมื่อผู้ทำประกันป่วย ก็กลับถูกบริษัทประกันบอกเลิกสัญญา ถามว่าเรื่องโกหกแบบนี้ยังเกิดขึ้นในสังคมไทยหรือไม่ ตอบว่าเกิดขึ้นเป็นประจำ ทั้งๆ ที่เรามีหน่วยงานดูแลกิจการด้านการประกันภัย คือ คปภ. (คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย)แต่ก็ยังคงเกิดปัญหาบริษัทประกันเอารัดเอาเปรียบและฉ้อโกงประชาชนผู้ทำประกันตลอดเวลา
สิ่งหนึ่งที่บริษัทประกันใช้เป็นข้ออ้างในการฉ้อโกงประชาชนคือ ข้ออ้างที่ว่าหากบริษัทเห็นว่ามีความเสี่ยงสูง บริษัทมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทุกกรณี แล้วยังพบอีกว่าหลายบริษัทใช้อุบายการจ่ายเงินสินไหมให้กับผู้เอาประกันหรือญาติของผู้เอาประกันที่ได้รับผลประโยชน์โดยจงใจให้ล่าช้ามาก มากเสียจนผู้เอาประกันและผู้รับผลประโยชน์หมดปัญญาจะติดตามทวงถามต่อไป
ก่อนอื่นต้องย้ำว่า การทำประกันต่างๆ มีประโยชน์ หากกระทำกันบนพื้นฐานของความซื่อสัตย์สุจริตโดยแท้จริง เพราะเป็นการช่วยทั้งภาครัฐและภาคประชาชนโดยตรง แล้วยังทำให้ภาคธุรกิจเจริญเติบโตได้อีกด้วย แต่ปัญหาของบ้านเราคือบริษัทประกันหลายแห่งไม่ซื่อตรง ไม่รักษาสัญญา และไม่จริงใจกับผู้เอาประกัน
ทุกวันนี้ คุณๆ ที่มีโทรศัพท์มือถือมักจะได้รับการติดต่อจากผู้ขายประกันเป็นประจำ ซึ่งเราทุกคนต่างก็สงสัยทุกครั้งว่าเขาเหล่านั้นได้เบอร์โทรศัพท์ของเรามาได้อย่างไร สิ่งที่ผู้ขายประกันทางโทรศัพท์จะกระทำกับเราคือ เรียกเราด้วยคำยกยอปอปั้นต่างๆ นานา แล้วก็พยายามบอกว่าเราคือลูกค้าที่ได้รับการคัดเลือกเป็นพิเศษให้ได้รับเกียรติสูงสุดนี้ซึ่งเกียรติสูงส่งที่อ้างนี้จะให้กับลูกค้าเพียงไม่กี่ราย (ซึ่งเราก็งงว่า แล้วเราจะมีเกียรตินั้นได้อย่างไร เพราะรายได้ก็แสนจะธรรมดา ซึ่งธรรมดาในแบบไม่ค่อยจะพอกินในแต่ละเดือนบ้านก็ยังผ่อนธนาคารไม่หมด รถยนต์ก็ยังต้องผ่อนต่อไปอีก)
สิ่งหนึ่งที่เรามักจะได้รับคำเชื้อเชิญ (ทำนองเซ้าซี้) ก็คือชวนให้ซื้อประกันชีวิตเพิ่ม (ในกรณีที่เราซื้อไปแล้ว) ส่วนมากก็จะเป็นการชวนให้ซื้อประกันชีวิตในกรณีเกิดอุบัติเหตุ โดยอ้างว่าแค่อุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้รับการชดเชยวันละหลายพัน แถมไม่จำกัดการเกิดอุบัติเหตุด้วย หากวันหนึ่งเราต้องประสบอุบัติเหตุ 20-30 ครั้ง ก็ได้รับเงินชดเชย (สารพัดจะอ้างกันไป)
มีกรณีหนึ่งที่เกิดขึ้นกับคนที่ผู้เขียนรู้จักดี เขาเล่าให้ฟังว่าถูกพนักงานขายประกันชวนให้ซื้อประกันชีวิตเพิ่ม โดยตอนแรกซื้อประกันชีวิตกรณีเกิดอุบัติเหตุจนถึงแก่ความตายไว้จ่ายเงินค่าเบี้ยประกันปีละ 2,500 บาท (เป็นการจ่ายเงินแบบทิ้งไปเลยในแต่ละปี เพราะไม่ใช่ประกันสะสมทรัพย์) วงเงินประกัน 5 แสนบาท จะได้รับเงินเมื่อเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเท่านั้นเมื่อซื้อประกันนี้ไปแล้วระยะหนึ่ง ต่อมาก็มีผู้ติดต่อมาจากบริษัทประกันเดิมว่าเสนอทางเลือกที่แสนวิเศษกว่าเดิมให้คือต้องซื้อประกันแบบสะสมรายปี หากเสียชีวิตก็จะได้สินไหมทดแทนแต่ต้องจ่ายเบี้ยประกันเพิ่มเป็นปีละ 15,000 บาท แต่จะได้วงเงินประกันเพิ่มเป็น 8 แสนบาท จึงตัดสินใจทำประกันเพิ่ม แล้วมาทราบภายหลังว่าจะได้เงินประกันก็ต้องเมื่อทำประกันเป็นเวลาเกินสองปีไปแล้ว หรือถ้าหากเสียชีวิตก่อน 2 ปี ก็จะต้องเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุเท่านั้นจึงจะได้เงินประกัน แต่หากเสียชีวิตเพราะเหตุอื่นก็ไม่ได้เงินประกันใดๆ แต่บริษัทจะคืนเงินให้ตามเงินที่จ่ายเพื่อซื้อประกันไปแล้วพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 10 ซึ่งเรื่องนี้เมื่อพิจารณาดีๆ ก็จะพบว่าไม่ต่างไปจากถูกบริษัทประกันหลอกลวง เพราะไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีตามที่ได้โฆษณาชวนเชื่อไว้มิหนำซ้ำยังต้องจ่ายเงินค่าประกันในแต่ละปีเพิ่มกว่าเดิมอีกหลายเท่า แต่ได้รับผลตอบแทนเพียงน้อยนิดเท่านั้น
เรื่องแบบนี้ หลายคนบอกว่าก่อนจะซื้อประกัน ทำไมผู้ซื้อไม่อ่านข้อกำหนดในกรมธรรม์ให้ชัดเจนเสียก่อน คำตอบคือไม่มีให้อ่าน เพราะคนขายประกันที่โทรศัพท์มา (บังคับ) ขายนั้น บอกว่าไม่มีเอกสารให้อ่านก่อน แต่ต้องซื้อประกันก่อนแล้วจึงจะส่งเอกสารให้ ซึ่งเรื่องแบบนี้มีผู้ร้องเรียนไปที่ คปภ. มากมาย แต่ก็ไม่ได้รับการแก้ไขใดๆ จาก คปภ. ซึ่ง คปภ. ก็อาจจะคิดเอาเองว่า ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร เพราะผู้ซื้อดันรีบร้อนซื้อเอง ก็จึงมีคำถามว่า ถ้าเช่นนั้นจะต้องมี คปภ.ไปเพื่ออะไร มีไปก็เปลืองเงินภาษีอากรของประชาชนโดยเปล่าประโยชน์
มีอีกกรณีหนึ่งที่ประชาชนถูกบริษัทประกันหลอกลวงเยอะแยะมาก คือ วันร้ายคืนเลวก็มีโทรศัพท์จากบริษัทประกันบอกว่าต้องจ่ายค่าเบี้ยประกัน เพราะไปทำประกันไว้ ส่วนคนที่ถูกทวงเงินก็สงสัยว่าไปทำประกันไว้เมื่อไร ทำกับใคร เพราะไม่เคยทำนี่นา แล้วทำไมจึงถูกทวงเงินค่าเบี้ยประกันได้
กรณีนี้เกิดขึ้นกับคนในหน่วยงานหนึ่งที่อยู่ในแวดวงสื่อสิ่งพิมพ์ เขาผู้นี้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ถูกทวงค่าเบี้ยประกัน ทั้งๆ ที่ไม่เคยซื้อประกันใดๆ เลย เนื่องจากไม่มีเงินซื้อ เพราะเงินจะกินในแต่ละเดือนก็ยังไม่ค่อยจะพอใช้ แล้วจะไปซื้อประกันเพื่ออะไร
เมื่อถามกันจนละเอียดจึงได้รู้ว่า เมื่อ 4 เดือนก่อนหน้านี้ ผู้ที่เล่าเรื่องให้ผู้เขียนฟังได้ไปทำบัตรเครดิตกับธนาคารแห่งหนึ่ง (สีอะไรก็ช่างเถอะ แต่รู้ไว้ว่าเป็นธนาคารก็แล้วกัน) เมื่อทำบัตรเครดิตแล้ว ธนาคารที่ออกบัตรให้ก็ให้ของแถมคือการทำประกันภัยให้แบบชนิดให้ความคุ้มครองโดยทันที โดยผู้ได้รับบัตรเครดิตไม่ต้องจ่ายเบี้ยประกันภายในระยะเวลา 3 เดือน แต่ถ้าหากผู้ถือบัตเครดิตต้องการให้มีผลคุ้มครองจากบริษัทประกันโดยต่อเนื่องหลังครบสามเดือนแรกแล้ว ก็ต้องจ่ายเงินซื้อประกันเพิ่ม พูดง่ายๆคือจะหักเงินจากบัตรเครดิตใบนั้นทันทีทุกเดือนหลังจากถือบัตรได้ครบสามเดือนแล้ว โดยหากเราไม่เป็นฝ่ายยกเลิกสัญญาก่อน ก็จะกลายเป็นถูกมัดมือชกไปโดยปริยาย
ผู้เขียนมั่นใจว่าคุณผู้อ่านหลายคนคงเคยเจอปัญหาเดียวกันนี้ แล้วคำถามตามมาคือ เราได้กลายเป็นลูกหนี้บริษัทประกันได้อย่างไร ในเมื่อเราไม่ต้องการจะซื้อประกัน แต่เราก็ดันลืมเมื่อครบกำหนดสามเดือนไปแล้ว ถามว่าใครจะมานั่งจำเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เราต้องปวดหัวคือ การสร้างเงื่อนไขและภาระผูกมัดเราโดยที่เราไม่ตั้งใจ
ทางออกของเรื่องนี้คือ บอกปฏิเสธไปตั้งแต่แรกเลยว่า ไม่สนใจทำประกันอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องทำให้ฉัน ฉันไม่สมัครใจทำทั้งสิ้น อย่ามายุ่งกับชีวิตของฉัน ถ้าฉันจะทำ ฉันจะทำด้วยตัวเอง อย่ามาใช้เล่ห์เพทุบายลวงโลกเช่นนี้ ฉันยืนยันว่าไม่ทำประกันใดๆ ทั้งสิ้น ขอให้บอกให้ตรงๆ และชัดๆ แบบนี้นะครับ เพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมาในอนาคต แล้วถ้ามีคนโทรฯ มาขายประกันก็บอกไปเลยว่าไม่สนใจครับ/ค่ะ กรุณาลบเบอร์โทรศัพท์มือถือของผม/ฉันออกไปเลย แล้วไม่ต้องโทรฯ มาหาอีกนะครับ/ค่ะ หากสนใจจะทำประกัน จะติดต่อไปที่บริษัทเอง
หลายคนบอกว่า เกรงใจผู้โทรฯ มาขายประกัน จึงไม่อยากทำให้เขาเสียน้ำใจ แต่ผู้เขียนยืนยันว่า การบอกกับเขาตรงๆ ว่าไม่สนใจ และไม่ซื้อ รวมถึงกรุณาไม่ต้องโทรฯ มาอีกคือการบอกกล่าวที่สุภาพที่สุดแล้ว และไม่ต้องเสียเวลาทั้งคู่คือทั้งเราและทั้งเขา
อันที่จริงอยากจะชวนคุยเรื่องคำสั่งปิดบริษัทเอเชียประกันภัย รวมถึงเรื่องราวของบริษัทประกันโควิด-19 ที่มีเจตนาฉ้อโกงประชาชนด้วย แต่ทว่าพื้นที่สำหรับชวนคุณคิดไปด้วยกันในสัปดาห์นี้หมดแล้ว ก็ขอบอกเพียงสั้นๆ ว่า ก่อนทำประกันใดๆ ไม่ว่าประกันชีวิตหรือประกันภัยขอให้นำเอกสารทั้งหมดมาอ่านในเข้าใจก่อน อย่าเชื่อเพียงคำพูดของคนขายประกัน เพราะคนขายประกันจำนวนไม่น้อยไม่พูดความจริงทั้งหมด แล้วเวลาอ่านข้อความในเอกสารของบริษัทประกันก็ต้องมีความรู้ด้านกฎหมายด้วย อย่ารีบตีความเข้าข้างตัวเอง เพราะข้อความในเอกสารหลายจุดกำกวมมาก เนื่องจากผู้ทำเอกสารน่าจะจงใจให้ผู้อ่านเกิดความสับสนและเสียผลประโยชน์นั่นเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี