สมาชิกอาเซียนในกลุ่มประเทศดินแดนสุวรรณภูมิได้แก่ สปป.ลาว กัมพูชา พม่าและไทยมีความผูกพันกันทางประวัติศาสตร์ เชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมประเพณีที่คล้ายคลึงกันมานานหลายศตวรรษ
ประวัติศาสตร์สอนให้รู้ว่าแม้อาณาจักรในดินแดนสุวรรณภูมิเคยทำสงครามกวาดต้อนผู้คนปล้นทรัพย์สินกันไปมา ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะผลัดกันเป็นเจ้าประเทศราช ผลัดกันเป็นเมืองลูกหลวงส่งส่วยถวายดอกไม้เงิน ดอกไม้ทองกันมาเป็นหลายร้อยปี จึงไม่เป็นเรื่องประหลาดใจที่วัฒนธรรมการเมืองการปกครองของประเทศที่ผู้คนกินข้าวเป็นอาหารหลักจึงคล้ายๆ กันตั้งแต่โบราณกาลจนมาถึงทุกวันนี้
เกริ่นเรื่องนี้ขึ้นมาเล่าเพื่อทำให้เข้าใจว่าทำไมวัฒนธรรมการเมืองการปกครองในยุคใหม่ของประเทศไทย ประเทศกัมพูชา สปป.ลาว และประเทศพม่าจึงคล้ายๆ กันนั่นก็คือระบบการปกครองแบบอุปถัมภ์ค้ำชูที่นับถือผู้อาวุโสผู้ใหญ่ซึ่งมีบารมีในท้องที่เป็นสำคัญ
ถึงแม้ปัจจุบันรูปแบบการเมืองการปกครองในกลุ่มประเทศสุวรรณภูมิมีหลากหลาย มีทั้งประชาธิปไตยครึ่งใบเช่นในประเทศไทย อำนาจนิยมเช่นในกัมพูชา การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ใน สปป.ลาว ระบอบเผด็จการทหารสหภาพเมียนมาแต่กลุ่มประเทศในดินแดนสุวรรณภูมิก็อยู่ร่วมกันอย่างสันติ และมีพิธีการทูตคล้ายๆ กันนั้นก็คือ Silence Diplomacy การทูตเงียบเพราะคนแถบนี้มีคติว่า “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง”
สังเกตได้ว่าในการประชุมนานาชาติระดับภูมิภาคหรือระดับสากลกลุ่มประเทศในดินแดนสุวรรณภูมิไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นออกหน้าแต่ว่าเคลื่อนไหวเงียบๆ และมีบทบาทสำคัญอยู่เบื้องหลัง
ตัวอย่างที่คลาสสิกที่สุดคือวิกฤตการเมืองในพม่าเมื่อพลเอกมิน อ่อง หล่าย นำทหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพรรคเอ็นแอลดีของนางออง ซาน ซู จี เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ในขณะที่ประเทศตะวันตกและสมาชิกอาเซียนบางประเทศพากันโวยวายต่อต้านรัฐบาลทหาร เรียกร้องกดดันให้ปล่อยตัวนางออง ซาน ซู จี และฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยเปลี่ยนจากรัฐบาลทหารกลับมาปกครองแบบประชาธิปไตยให้รวดเร็วได้ดังใจ
สมาชิกอาเซียนประเทศนอกดินแดนสุวรรณภูมิบางประเทศ ซึ่งมีอคติกับทหารพม่ามาก่อนหน้ายึดอำนาจ ในประเด็นที่กล่าวหาว่าทหารพม่าละเมิดกดขี่ข่มเหงชาวโรฮีนจาจึงถือได้ว่าใช้ความขัดแย้งทางศาสนาเป็นพื้นฐานเพราะสมาชิกเหล่านั้นนับถือศาสนาเดียวกันกับโรฮีนจา
ในบรรดาสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ มีระบบการเมืองการปกครองหลากหลายแตกต่างกัน มีทั้งการปกครองแบบอำนาจนิยม ประชาธิปไตยครึ่งใบ เผด็จการทหาร และการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ตลอดถึงราชาประชาธิปไตย ความแตกต่างทางวิธีการทูตจึงหลากหลายพิสูจน์ได้จากการลงมติในสหประชาชาติเมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา ในญัตติที่ประเทศตะวันตกเสนอให้ปิดล้อมพม่าห้ามทุกประเทศขายอาวุธให้กองทัพพม่า สมาชิกอาเซียนในกลุ่มสุวรรณภูมิขอให้แก้ไขถ้อยคำเป็น “ห้ามมิให้อาวุธหลั่งไหลเข้าประเทศพม่า” หมายความว่าอเมริกาและตะวันตกแอบส่งอาวุธไปให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารไม่ได้เช่นกัน
ผลของการลงมติในวันนั้น 119 ประเทศรับรอง 1 ประเทศ คือเบลารุสคัดค้าน 36 ชาติงดออกเสียงในจำนวนนั้นมีจีน รัสเซีย ไทย ลาว กัมพูชา ส่วนประเทศอาเซียนนอกดินแดนสุวรรณภูมิลงมติรับรอง
อาเซียนยึดถือในหลักการฉันทามติ และไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน แต่ในทางปฏิบัติขัดแย้งกันอยู่ในที ตัวอย่างกรณีแต่งตั้งทูตพิเศษอาเซียนเพื่อช่วยแก้ไขวิกฤตตามฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียนพลเอกมิน อ่อง หล่าย ผู้ถืออำนาจรัฏฐาธิปัตย์แสดงเจตจำนงว่าอยากได้นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล อดีตรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศของไทยให้เป็นทูตพิเศษอาเซียนประจำพม่า
แต่นางเรตโน มาซูร์ดี รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซียแท็กทีมกับรัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซียและบรูไนผลักดันนายเอรีวัน ยูซอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศคนที่ 2 ของบรูไนเป็นทูตพิเศษอาเซียนจนได้
เมื่อเริ่มต้นกันด้วยความไม่พอใจรัฐบาลพม่าก็ใช้วิธีการทูต Silence Diplomacy คือไม่พูดไม่ตอบรับคำขอหรือข้อเสนอจากทูตพิเศษอาเซียน นายเอรีวันขอพบออง ซาน ซู จี แต่รัฐบาลทหารพม่าเงียบเฉยไม่ตอบรับหรือปฏิเสธและเมื่อ รมต.ต่างประเทศมาเลเซียโวยวายขึ้นมาโฆษกรัฐบาลทหารพม่าก็ตอบเพียงว่า “พบปะกับจำเลยที่อยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีไม่ได้”
นางออง ซาน ซู จี อยู่ระหว่างศาลพิจารณาคดีในหลายข้อหาตั้งแต่นำเข้าและใช้วิทยุสื่อสารผิดกฎหมายละเมิดข้อห้ามป้องกันโควิดระบาดระหว่างการหาเสียง ปลุกระดมให้เกิดความวุ่นวาย แต่ข้อหาร้ายแรงที่อาจทำให้เธอติดคุก 15 ปี หากศาลตัดสินว่าเธอมีความผิดคือข้อหาสมคบกันทุจริตคอร์รัปชั่นและรับสินบน กับข้อหาละเมิดกฎหมายความลับทางราชการ
อุปสรรคและความล่าช้าในการทำหน้าที่ตามฉันทามติ 5 ข้อของทูตพิเศษอาเซียน ทำให้ประเทศตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาโวยวายว่าทำไมการช่วยเหลือให้นางออง ซาน ซู จี กลับมามีอำนาจจึงไม่คืบหน้าเดือดร้อนถึงอินโดนีเซีย มาเลเซียและบรูไน ต้องข่มขู่โวยวายว่าถ้าพลเอกมิน อ่อง หล่าย ไม่ให้ทูตพิเศษได้พบกับนางออง ซาน ซู จี อาจไม่ได้เข้าร่วมอาเซียนซัมมิต
ด้วยความมีอคติและรับใบสั่งมาจากลูกพี่สหรัฐอเมริกาและอียู สมาชิกอาเซียนนอกดินแดนสุวรรณภูมิเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาประชุมกันเองเออเองว่าไม่เชิญพม่าเข้าร่วมอาเซียนซัมมิต ระหว่างวันที่ 26 ถึง 28 ต.ค.นี้
พม่ากับไทยซึ่งเป็นอาเซียนฝ่ายสุวรรณภูมิก็ไม่ได้โวยวายแต่สวนกลับไปอย่างแสบสันแถลงการณ์กระทรวงการต่างประเทศพม่าออกแถลงการณ์สั้นๆว่า #“การตัดสินใจไม่เชิญพม่าครั้งนี้ไม่ได้ผ่านฉันทามติขัดกับหลักการและกฎบัติอาเซียนอาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสามัคคีในอาเซียน”# ซอ มิน ตุนโฆษกรัฐบาลทหารกล่าวว่า “เห็นได้ชัดเจนว่ามีต่างประเทศแทรกแซง เราทราบมาล่วงหน้าว่าทูตบางประเทศได้พบกับกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาและยอมรับแรงกดดันจากอียูมา”
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศไทยกล่าวแต่เพียงว่า “อาเซียนเป็นครอบครัวเดียวกับเราหวังว่าสหภาพพม่าจะให้ทูตพิเศษไปเยือนพม่าเร็วๆ นี้”
ฝ่ายสหรัฐอเมริกาสำทับมาว่าทูตพิเศษอาเซียนต้องพบปะหาทางช่วยเหลือออง ซาน ซู จี ให้ได้ สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันศุกร์ที่ 15 ต.ค. ว่าได้มีแถลงการณ์ร่วมของ 8 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐฯ, อังกฤษ, ออสเตรเลีย, แคนาดา, เกาหลีใต้, นิวซีแลนด์, นอร์เวย์ และอีสต์ติมอร์ ออกเผยแพร่ในวันเดียวกันกล่าวว่า ประเทศเหล่านี้มีความห่วงและความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เลวร้ายในเมียนมา และเรียกร้องให้รัฐบาลเมียนมาเกี่ยวพันอย่างสร้างสรรค์กับทูตพิเศษของอาเซียน
“เรายังเรียกร้องเพิ่มเติมให้กองทัพอำนวยความสะดวกให้แก่การเยือนเมียนมา อย่างสม่ำเสมอโดยผู้แทนพิเศษของอาเซียน และให้เขาได้มีส่วนร่วมกับผู้ที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างอิสระ”
แถลงการณ์ร่วม ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโจเซป บอร์เรล หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศแห่งสหภาพยุโรป (อียู) กล่าว โดยหมายถึงเอรีวัน ยูซอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศคนที่ 2 ของบรูไนที่ได้รับการแต่งตั้งจากอาเซียนตามแผน 5 ข้อ เพื่อหาทางออกให้แก่วิกฤตเมียนมา
แถลงการณ์ของ 8 ประเทศที่ออกมา สำหรับพม่าจึงเหมือนกับกระดาษชำระจะทำอะไรพม่าได้ในเมื่อสมาชิกอาเซียนในกลุ่มสุวรรณภูมิยังคงใช้นโยบายSilence Diplomacy โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศกัมพูชาซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดแนบสนิทกับจีนจ่อจะเป็นประธานหมุนเวียนอาเซียนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ส่วนรัสเซียกับจีนซึ่งมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับรัฐบาลทหารพม่าทั้งด้านการค้าและความมั่นคงคือรัสเซียเน้นขายอาวุธและฝึกทหารให้พม่าเป็นหลักยังคงปิดปากเงียบไม่แสดงท่าทีใดๆ สรุปว่าประเด็นวิกฤตพม่า สมาชิกอาเซียนในฝ่ายสุวรรณภูมิกับจีนและรัสเซียทำตัว Low Profile เพื่อให้ได้ High Profit
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี